วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพ่อ ของผม

    พอเข้าสู่เดือนมีนาคมของทุกๆปีอากาศบ้านเราจะร้อนอบอ้าวสุดๆ เพราะจะเข้าสู่หน้าร้อนของทุกปีแล้ว แต่ในปีนี้อากาศกับยังไม่ร้อนเท่าไร แถมยังมีฝนตกลงมาอีกด้วย สำหรับเดือนมีนาคมปี 2554 นี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายบนโลกของเรา ทั้งแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ประชาชนประท้วงรัฐบาลหลายประเทศที่แถบประเทศแถวตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศลิเบีย รุนแรงจนขนาดเป็นสงครามกลางเมืองเลย เอาเป็นว่าปล่อยให้มันดำเนินตามวิถีทางของมันไปเถอะ ส่วนตัวผมแล้วในเดือนมีนาคมของทุกปี จะมีวันสำคัญประจำตัวของผมอยู่สองวัน ก็มีวันที่ 9 มีนาคม เป็นวันเกิดลูกสาวคนเล็กของผม "น้องมีนา" ปีนี้อายุ 3 ขวบแล้ว อีกวันคือ วันที่ 10 มีนาคมของทุกปี จะเป็นวันพ่อของผม เพราะพ่อของผมท่านเิกิดวันนี้ พ่อผมเกิดวันที่ 10 มีนาคม 2481 ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ก็จะอายุ 73 ปี แต่น่าเสียดายและน่าเสียใจอย่างยิ่งเพราะท่านเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ตอนท่านอายุ 65 ปีหรือเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาแล้ว
    และในโอกาสวันพ่อของผมวันที่ 10 มีนาคม 2554 นี้ผมจึงอยากจะเสนอเกียรติประวัติของพ่อผม เพื่อให้ผู้ที่เข้าชม Blog ของผมได้ทราบประวัติส่วนตัวของพ่อผมที่อาจจะมีเรื่องราวน่าสนใจหรือเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆคนได้เรียนรู้การใช้ชีวิต เพื่อที่จะนำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
    พ่อของผมพื้นเพเป็นคนภาคอิสาน บ้านเกิดอยู่ที่บ้านหนองแดง ต.บ้านบาก อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด พ่อของผมเป็นลูกคนที่ 4 จากทั้งหมด 5 คน ซึ่งชีวิตในวัยเด็กของพ่อผมท่านเป็นคนเจ้าสำอาง รักในด้านการเรียนการศึกษา ผิดกับพี่ๆน้องๆ หรือชาวอิสานทั่วๆไป ที่ชอบทำงานหนักหรือลุยๆ อะไรแบบนั้น ครอบครัวของพ่อผมในขณะนั้นประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ตามประสาชาวอิสานทั่วๆไป ฐานะก็ปลานกลาง ดีหน่อยก็ตรงที่ปู่ของผมมีที่ดิน ไร่นาอยู่มากโขเหมือนกัน ในวัยเด็กพี่น้องของพ่อผมต่างก็ต้องออกจากโรงเรียนตอนจบ ป. 4  กันหมดเพื่ิอที่จะต้องช่วยเหลือครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่บ้านกันทุกคน จะมีก็แต่พ่อของผมหลังจากท่านเรียนจบ ป. 4 แล้วแต่ท่านไม่ยอมกลับไปช่วยเหลือครอบครัวทำไร่ไถนาเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ ตามความต้องการของครอบครัวทางบ้าน แต่ถึงแม้ครอบครัวจะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมส่งเสียในด้านค่าใช้จ่ายให้ศึกษาเล่าเรียนต่อ ด้วยความใฝ่เรียนและตั้งใจว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วจะได้ทำงานดีๆรับราชการเป็นเจ้าคนนายคนดังที่หวัง พ่อผมจึงตัดสินออกจากบ้านไม่ยอมกลับไปช่วยครอบครัวตามคำเรียกร้อง และถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้เรียนต่อในภาคการเรียนปกติ และเพื่อที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนพ่อของผมจึงตัดสินใจบวชเณชเพื่อศึกษาเล่าเรียนทางธรรมจนจบเปรียญ 9 ประโยค สมัยนั้นก็ประมาณปริญญาตรีสมัยนี้แหละ พ่อผมบอกว่าใครเรียนจบเปรียญ 9 ประโยคสมัยนั้นถึงกับแห่รอบหมู่บ้านเพื่อแสดงความยินดีกันเลย
    หลังจากท่านรับวุฒิบัตรในการจบการศึกษาและสึกจากพระออกมาแล้ว งานแรกของพ่อผมท่านได้สมัครเป็นครูโรงเรียนประชาบาล หรือโรงเรียนเอกชนเหมือนกับสมัยนี้นี่แหละ พ่อผมทำงานเป็นครูประชาบาลอยู่ระยะหนึ่งก็สามารถที่จะสอบบรรจุเข้ารับราชการครูได้ โดยบรรจุเป็นครูครั้งแรกอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ชื่อโรงเรียนผมจำไม่ได้ต้องขอโทษด้วยนะครับ และท่านก็รับราชการครูจนเกษียณอายุราชการ ตลอดเวลาทำงานในอาชีพครูกว่าสี่สิบปีเลย


    ตลอดเวลาอายุการรับราชการครูพ่อของผมสอนลูกศิษย์ลูกหาออกไปเป็นใหญ่เป็นโตหลายคน และท่านก็มีจิตวิญญาณในการเป็นครูเต็มตัว จนเป็นที่รักนับถือของลูกศิษย์ลูกหาทุกคนจนได้รับโล่รางวัลมากมาย









    แต่รางวัลที่ท่านภาคภูมิใจมากที่สุดคือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ช้างเผือก ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ช้างเผือก ชั้นที่ 3 ตริตราภรณ์ จากพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ซึ่งสำหรับครูบ้านนอกคนหนึ่งแล้วท่านบอกว่าภูมิใจมากที่สุดเลย








    อีกทั้งท่านยังได้รับเหรียญตรามาประดับเครื่องแบบอีกหลายเหรียญ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า สำหรับเด็กบ้านนอกที่ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือในภาคการเรียนปกติเหมือนคนอื่นเขา ต้องอาศัยข้าววัดเรียนรู้ผ่านทางการศึกษาทางธรรมจนจบออกมาได้ทำงาน และได้รับเกียรติขนาดนี้ท่านก็ภูมิใจที่สุดแล้ว














     ชีวิตครอบครัว พ่อผมแต่งงานกับแม่ผมช่วงที่เป็นครูอยู่จังหวัดกำแพงเพชร มีลูก 2 คน คือผมเองเป็นคนโต และน้องสาวผมอีกหนึ่งคน และครอบครัวเราก็ปักหลักอยู่จังหวัดกำแพงเพชรมาจนถึงทุกวันนี้








    ในช่วงเริ่มต้นการใช้ชีวิตครอบครัวกับแม่ของผม ก็มีเหตุการณ์ลุ่มๆดอนๆ ในการใช้ชีวิตครอบครัวของพ่อกับแม่ผม เพราะพ่อผมในช่วงนั้นทั้งดื่มเหล้า เล่นการพนันอีกทั้งยังเที่ยวเตร่ จนทำให้แม่ของผมเกือบทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของพ่อ ซึ่งตอนหลังพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านไม่เคยใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นทั่วๆไปในสังคม เพราะต้องบวชเรียนหนังสือทางธรรมตั้งแต่เด็กๆจนเป็นหนุ่ม พอมีโอกาสใช้ชีวิตแบบปกติในสังคมที่มีหน้ามีตาเลยหลงเข้าไปในห้วงของอบายมุขจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น

    แต่ไม่นานพอพ่อถอนตัวจากอบายมุขได้ครอบครัวเราก็กลับมามีความสุขปกติ อย่างเช่นครอบครัวอื่นๆเขา พ่อก็กลับมาเป็นผู้นำครอบครัวอย่างเช่นครอบครัวอื่นๆ และกลับมาเป็นเสาหลักของลูกๆ ทุกคน









    กลับมาเป็นผู้ที่ชี้แนะแนวทางอบรมสั่งสอนลูกๆหลานๆ ให้เป็นคนดี ประพฤติดีตามจิตวิญญาณของความเป็นครูและพ่อในเวลาเดียวกัน











    มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่ท่านพร่ำสอนผมจนผมจำได้อย่างขึ้นใจ แต่บางครั้งก็แอบรั้นเหมือนกันก็คือ "นกน้อยทำรังแต่พอตัว" ที่ผ่านมาไม่ค่อยจะรู้ซึ้งถึงความหมายเท่าไรนัก แต่หลังจากที่ผมได้มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบเองก็เข้าใจดีอย่างถ่องแท้ถึงความห่วงและความกังวลของพ่อผมที่มีต่อลูกๆทุกคน






    เนื่องจากในเครือญาิติทางฝ่ายแม่ของผมไม่ค่อยมีผู้ที่ทำงานข้าราชการ ดังนั้นไม่ว่าจะมีงานเล็กงานใหญ่ก็จะต้องเป็นพ่อของผมที่ต้องถูกขอร้องให้เป็นแม่งาน ให้จัดการโน้นจัดการนี่ ทำตั้งแต่โฆษกยันมัคธายกเลยก็มีในบางงาน








    อย่างเช่นงานสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานศพ ท่านเป็นแม่งานหมดทุกงาน บางทีนอกจากงานของญาติพี่น้องแล้วชาวบ้านในหมู่บ้านก็ยังมาร้องขอให้พ่อผมไปช่วยจัดงานเลยก็มีเหมือนกัน








    งานบุญบ้านโน้น บ้านนี้ ต้องมีพ่อผมตลอดไม่เคยขาด จนท่านเป็นที่เคารพนับถือของเครือญาติทุกคน รวมถึงชาวบ้านระแวกใกล้เคียงด้วย

















    หรืออาจเป็นเพราะพ่อของผมท่านเคยบวชเรียนมา ดังนั้นเรื่องมนต์พิธี หรือพิธีกรรมต่างๆ พ่อของผมจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้










    แต่ว่าลูกชายอย่างผม กลับไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ครับเรื่องธรรมะธรรมโม ไม่ติดเชื้อพ่อมาเลย












    สำหรับพ่อผมกับลูกและหลานช่วงที่พ่อผมท่านอายุมากแล้ว ท่านเป็นคนใจดีมาก จนเป็นที่รักของลูกๆหลานๆทุกคน ปีใหม่สงกรานต์ที่บ้านจึงเต็มไปด้วยลูกๆหลานๆ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมท่าน เต็มบ้านไปหมด









    ทั้งหลานตัวเล็กๆ ท่านก็รักเอาใจเลี้ยงดูทุกคนเลย













    ทั้งหลานชายตัวน้อยๆ














    หลานหญิงตัวโตๆท่านรักทุกคนเท่าเทียมกันครับ













    พ่อของผมท่านเป็นทั้งคุณตาที่น่ารัก และคุณปู่ที่น่ารักของหลานๆ ทุกคน เลี้ยงดูป้อนข้าวทุกคน












    แม้แต่ตัวผมเองทุกครั้งที่ชีวิตพลาดพรั้งในเรื่องราวต่างๆ ผมจะต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อนเสมอ พ่อก็จะอบรมสั่งสอนชี้แนะแนวทางตลอด จนกลับไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นทุกครั้งที่เกิดเรื่อง









    ตั้งแต่ผมเป็นหนุ่มน้อย จนเป็นหนุ่มใหญ่ พ่อผมก็ประคองชีวิตให้ผมตลอด ทั้งที่ชีวิตของผมเกือบตกเหวแห่งความชั่วร้ายมาแล้วหลายครั้งหลายคราเลย










    ช่วงที่พ่อของผมอายุมากขึ้น ท่านก็มีโรคร้ายเข้ามารุมเร้าท่านหลายโรค













    ทั้งโรคตับ ที่เกิดจากการดื่มเหล้าหนักช่วงที่เป็นครูใหม่ๆ แล้วเหล้าสมัยนั้นโทษภัยก็ค่อนข้างจะร้ายแรงกว่าสมัยนี้มากมาย จนทำให้พ่อผมล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง










    ในบรรดาโรคที่พ่อต้องประสบมันมีโรคที่น่ากลัวที่สุด ที่มารุมเร้าพ่อผม มันคือโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เจ้าโรคร้ายที่รุนแรงและมันมาคร่าชีวิตของพ่อผมไปอย่างไม่มีวันกลับมา










    ในช่วงที่รู้ว่าพ่อเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกคนในครอบครัวเราตกใจกันมาก โดยเฉพาะผมซึ่งพอจะรู้ว่าไอ้เจ้าโรคร้ายชนิดนี้มันร้ายแรงขนาดใหน รวมถึงพ่อผมเองก็มีโรคตับโรคเก่าที่ยังต้องกินยารักษาตลอดอยู่แล้ว ทั้งอายุของพ่อก็มากแล้วด้วย ร่างกายจะทนทานกับเจ้าโรคร้ายนี้ได้อย่างไร อีกอย่างวิธีการรักษาเจ้าโรคนี้ต้องใช้คีโม ซึ่งมันจะทำลายทั้งเซลล์ดีเซลล์ร้ายภายในร่างกาย แล้วพ่อผมจะรับมือกับมันไหวหรือ



    ในขณะที่ทุกคนในครอบครัวตกใจ แต่ตัวพ่อของผมเองกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมก็รู้ว่าที่พ่อทำแบบนั้นเพราะพ่อของผมไม่ต้องการให้ทุกคนในครอบครัวกังวลกับอาการป่วยของพ่อ









    ท่านยังใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม เพียงแต่ท่านเดินทางเยี่ยมลูกหลานและญาติๆ มากกว่าปกติ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทุกคนรู้ดีว่าท่านทำเพราะอะไร











    ผมเข้าใจว่าพ่อผมก็คงจะรู้ดีถึงพิษภัยของเจ้าโรคร้ายนี้ เพราะพ่อเองก็เป็นคนที่มีความรู้ และเป็นคนที่ต้องสัมผัสโรคร้ายนี้ด้วยตัวของท่านเอง











    ช่วงบั้นปลายชีวิตพ่อมาอยู่กับผมประมาณเดือนสองเดือนพออาการหนักขึ้นก็ร้องขอให้แม่พากลับบ้านที่กำแพงเพชร คงอาจเป็นเพราะอาการของท่านเริ่มหนักมากแล้วและท่านคงกลัวจะต้องเป็นภาระของลูก รวมถึงอาจจะกลัวลูกสะใภ้รังเกียจตัวท่านจากผลข้างเคียงการใช้คีโมในการรักษา เพราะผมของพ่อเริ่มล่วงมากขึ้น จนศรีษะเกือบโล้น





    ตลอดเวลาที่พ่อผมป่วยด้วยโรคร้าย ผมไม่เคยเห็นอาการกังวลใจจากความกลัว หรือแม้แต่เสียงร้องโอดโอยจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากเจ้าโรคร้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับมีแต่คำพูดติดตลกจากพ่อบอกว่า ถ้าพ่อทรุดจนสภาพไม่ไหวแล้วให้ถอดสายน้ำเกลือเลยนะลูก ไม่อยากเป็นภาพอุบาทตาเหมือนผู้ป่วยคนอื่นที่พ่อเคยเห็น





    พ่อของผมเสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2546 ซึ่งลักษณะการเสียชีวิตของพ่อผมไม่เหมือนกับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั่วๆไป แต่ก็นำความเศร้าโศรกเสียใจมาให้ครอบครัวของเราอย่างมากจากการเสียเสาหลักของครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ








    งานศพพ่อผมจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เพรียบพร้อมตามคำสั่งของพ่อผมกับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องในงานศพ เพราะพ่อผมได้จัดเตรียมงานศพของตัวเองไว้ล่วงหน้าแล้วเพื่อที่จะไม่ให้ลูกๆต้องเดือดร้อนวุ่นวาย โดยท่านได้สั่งบุคคลต่างๆ ให้จัดเตรียมงานพร้อมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต







     รวมถึงญาติๆที่อยู่ห่างไกล ก็ถูกแจ้งล่วงหน้าด้วยตัวพ่อเองก่อนเสียชีวิตไม่นานเหมือนกัน












    ภายในงานศพพ่อของผมมีแขกเรื่อญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ลูกหา รวมถึงผู้ที่เคารพนับถือพ่อผมมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก











    ในการทอดผ้าบังสกุล ได้รับเกียรติจากหลวงพ่อยงค์ เจ้าอาวาสวัดท่าตะคร้อเขาทอง พระเกจิอาจารย์ดังจากจังหวัดกำแพงเพชรเป็นผู้ทอดผ้าหน้าศพให้











    อาจเป็นเพราะบารมีของพ่อผมหรือผู้ที่เคารพนับถือพ่อผมมีจำนวนมากในวันเผาศพพ่อของผมมีผู้คนมาร่วมงานจำนวนมากมายทั้งที่พ่อผมเกษียณอายุราชการหลายปีแล้ว อีกทั้งท่านยังใช้ชีวิตหลังเกษียณกับครอบครัวจนไม่ค่อยมีเวลาออกงานสังคมสักเท่าไร








    สำหรับลูกอย่างผมในวันเผาศพพ่อก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่าการเผากระดาษเงินกระดาษทอง รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่พ่ออยากได้แต่ลูกอย่างผมไม่มีความสามารถหาให้ท่านได้ในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่









    แม้แต่พวงหรีดในงานศพพ่อของผมก็ยังสั่งไว้หากใครต้องการที่จะนำมาให้ก็ขอให้ใช้ประโยชน์ได้กับเด็กๆนักเรียน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์ต่อเนื่องนอกจากการมอบความเคารพกับผู้เสียชีวิต เห็นอย่างนี้แล้วผมอดที่จะภูมิใจไม่ได้ที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อที่ถึงแม้ร่างกายจะไม่มีลมหายใจแล้วแต่ท่านยังสร้างประโยชน์ได้จนวาระสุดท้าย






    หลังจากครบ 100 วันการเสียชีวิตของพ่อผม ครอบครัวเราได้จัดงานทำบุญครบ 100 วันให้พ่อผมที่บ้านกำแพงเพชร











    และในครั้งนั้นผมก็ถือโอกาสจัดผ้าป่าจากจังหวัดชลบุรีเพื่อร่วมทำบุญส่งกุศลไปให้พ่อโดยอาศัยแรงบุญจากเพื่อนร่วมงานที่อยู่จังหวัดชลบุรี ได้ปัจจัยในการทำบุญ สามหมื่นกว่าบาทรวมทั้งนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนใหญ่อีกหนึ่งเรือนเพื่อถวายให้วัดท่าตะคร้อเขาทอง เพื่อที่จะส่งบุญกุศลไปให้พ่อของผมด้วย






    พ่อของผมคือต้นแบบในการดำเนินชีวิตของผม ผมจะเก็บเกี่ยวคำสั่งสอนที่ดีๆของพ่อผม และจะใช้สิ่งที่ผิดผลาดของพ่อผมเป็นบทเรียนและแก้ไขในการดำเนินชีวิตของผม และในวันพ่อของผม วันที่ 10 มีนาคม 2554 ที่จะถึงผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยดลบันดาลให้พ่อของผมไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนตำบลใด จงมีแต่ความสุขความเจริญ ทั้งทางกายและทางใจอย่าได้มีทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บเหมือนในชาตินี้เลย และหากชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นลูกของพ่อทุกๆชาติไป
     สำหรับ Blog นี้ สวัสดีครับ..



"พ่อคือผู้นำพาให้มาเกิด
พ่อคือผู้ที่เปิดดวงตาใส
พ่อคือผู้ชูความหวังให้ตั้งใจ
พ่อคือหนึ่งร่มไทรให้ร่มเย็น


พ่อดุจหัวนาวาที่สามารถ
พาแคล้วคลาดภัยรุกต้านทุกข์เข็ญ
พ่อคือแสงส่องทางที่พร่างเพ็ญ
พ่อดุจเป็นพระพรหมให้ร่มบุญ"



3 ความคิดเห็น:

  1. ชมแล้วช่วยแสดงความคิดเห็น ติชมด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  2. เข้าใจครับ

    ตอบลบ
  3. วัตรสันต์ พันทะมนต์10 มีนาคม 2556 เวลา 06:34

    พ่อเล่าให้ฟังว่าอาไหมเรียนเก่งมากสมัยนั้นแม้แต่สมัยนี้ใครที่สามารถเรียนจบเปรียญ ๙ ได้ถือว่าเก่งมากเทียบเท่ากับป.ตรีเหมือนกับที่อาต้อยเขียนไว้ซึ่งเป็นที่ภาคิภูมิใจของวงศ์ตระกูล ตอนผมเด็กๆถ้าอาไหมกลับไปร้อยเอ็ดตอนผมมักจะได้เจอเพราะพ่อจะพาไปด้วยปู่ไหมคุยสนุกชอบสอนเรื่องวิชาการและบางทีก็ติดตลกเสียดายท่านมาจากไปก่อนเวลาอันควรขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวอาต้อยให้ประสบความสำเร็จในทุกด้านทุกสิ่งหวังและขอให้ดวงวิญญานอาไหมจงไปสู่สุขคติภพที่สูงยิ่งๆขึ้นไป ผมก็ภูมิใจครับที่ได้เกิดมาเป็นหลานอาไหม

    ตอบลบ