วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก

           ผมจำไม่ได้แล้วว่า ผมรู้สึกตื่นเต้นครั้งสุดท้ายเมื่อไร เวลาถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพราะเดือนนี้มันมีวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรักที่บรรดาหนุ่มๆสาวๆเขาตื่นเต้นวี้ดหว้าดกันทุกครั้งที่มาถึง แต่สำหรับผมทุกครั้งที่ถึงเดือนนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันรู้สึกเฉยๆเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่ในทุกปีพอถึงเดือนนี้และรวมถึงปีนี้ด้วย เวลาไม่ว่าผมจะไปทางใหนก็จะเห็นสัญลักษณ์แห่งความรักสดุดตาผมไปทั่ว ไม่ว่าจะไปซื้อข้าวของที่ตลาดก็ยังเห็นร้านขายดอกกุหลาบแดงเต็มไปหมด แม้กระทั่งตอนผมจะเริ่มงานประจำวัน เปิดเครื่องคอมฯ ตรวจสอบ E-mail ก็ยังเจอเครือข่ายเพื่อนฝูงส่งรูปภาพ Animation สวยๆ มาอวยพรเยอะแยะเต็มจอไปหมด จนอดที่จะนึกถึงเมื่อครั้งที่หัวใจผมพองโต เต้นตุ๊บตั๊บในวันวาเลนไทน์สมัยยังหนุ่มเอาะๆ ไม่ได้ ถึงแม้ปัจจุบันหัวใจของผมความรู้สึกรักใคร่พิสวาทแบบหนุ่มๆสาวๆมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็น หัวใจที่มีแต่ความรักแบบห่วงใยห่วงหาอาทรกับครอบครัวไปแล้ว สุดท้ายเลยไปหยิบอารบัมรูปเก่าๆ สมัยตอนแต่งงานกับแฟนผม หรือแม่ของลูกสาวผมมาดู เพราะเราก็แต่งงานกันเดือนกุมภาพันธ์เหมือนกัน เราแต่งกันเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงแม้ตอนแต่งงานเราจะแต่งงานกันแบบเรียบง่ายไม่ได้ใหญ่โตมโหราญเหมือนคู่แต่งงานคู่อื่นๆเขา รวมถึงกว่าที่เราจะได้แต่งงานกันได้ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามต่างๆมากมาย กว่าจะได้แต่งงานกันได้ คิดถึงอดีตแล้วก็อดที่จะอมยิ้มเล็กๆไม่ได้
       แต่ก่อนที่ผมจะเล่าถึงความรักก่อนแต่งงาน และอุปสรรคขวากนามรวมถึงบรรยากาศในงานแต่งงานของผม ผมขอแนะนำประวัติเจ้าสาวของผมในอดีตหรือแม่ของลูกสาวสองคนของผมในปัจจุบันให้ทราบกันสักหน่อย เจ้าสาวผมชื่อนางสาวน้ำอ้อย เอี่ยมอ่ำ หรือชื่อที่ผมเรียกจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "ปู" เธอเป็นลูกสาวคนโตจากทั้งหมด 5 คน ที่คุณพ่อตาผมตั้งชื่อให้เธอว่าปูเพราะ แกเคยเล่าให้ผมฟังว่าสมัยคุณแม่ยายท้องเจ้าสาวผม คุณพ่อตากับคุณแม่ยายของผมพักอาศัยอยู่ที่บางปู จังหวัดสมุทรปราการ พอคลอดเจ้าสาวผมออกมาเลยตั้งชื่อลูกว่าปูซะเลย บุคลิกส่วนตัวของเจ้าสาวผม ที่เป็นจุดเด่นจนทำให้ผมประทับใจเธอก็คือ เธอเป็นคนใจเย็น สุขุมรอบคอบ ไม่จู้จี้จุกจิก รวมถึงเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ในช่วงที่เธอยังโสดคุณพ่อตาเล่าให้ผมฟังบ่อยๆว่า เจ้าสาวของผมทำงานส่งเสียครอบครัว รวมถึงส่งเสียน้องๆ เรียนหนังสือด้วย จนเป็นที่รักของครอบครัวทุกคน
        ก่อนที่ผมจะรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าสาวของผม ผมรู้จักคุ้นเคยกับคุณพ่อตาของผมก่อน เป็นเพราะคุณพ่อตาผมกับพี่ชายผม ซึ่งจริงๆแล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม แต่ผมก็รักและนับถือเหมือนพี่ชายจริงๆ ผมคนหนึ่งซึีงถ้ามีโอกาสผมจะเล่าถึงเรื่องราวของแกให้ฟังเพราะพี่ชายผมคนนี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย แกสองคนสนิทสนมกันมาก เป็นแก็งคอดื่มเหมือนกันรวมถึงเคยไปผจญภัยในดินแดนเขมรแถบชายแดนอรัญประเทศ จังหวัดตราดมาด้วยกันแล้ว ซึ่งวีรกรรมของทั้งสองคน ถ้ามีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง ในช่วงที่ผมรู้จักคุณพ่อตาผมใหม่ๆ ผมเองก็รู้สึกประทับใจในตัวท่านหลายอย่าง เช่น การเป็นลูกผู้ชาย การต่อสู้ดิ้นรนผจญภัยตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นหนุ่ม รวมถึงฝีไม้ลายมือในด้านต่างๆ ที่แกเล่าให้ฟังระหว่างนั่งดื่มด้วยกัน
     อาจเป็นเพราะผมชื่นชมศรัทธาในตัวคุณพ่อตาผมเป็นทุนอยู่แล้วก็ไม่รู้ พอรู้ว่าแกมีลูกสาวก็เลยมีความสนใจอยากร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับแก ในช่วงแรกๆ ผมยังไม่ได้เจอกับเจ้าสาวผมหรอกนะ เพราะเธอทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จะมีก็แต่น้องๆ ของเธออยู่ที่อยู่ที่บ้าน จะได้ยินเรื่องราวของเจ้าสาวผม ก็ตอนที่คุณพ่อตาพูดถึงให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ เวลานั่งคุยกัน












       ได้ยินคุณพ่อตาพูดถึงลูกสาวคนโตให้ผมฟังบ่อยมาก ส่วนใหญ่เนื้อหาที่พูดให้ฟังก็มีแต่คำชื่นชมดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าสักที จะมีก็แต่น้องสาวของคุณเจ้าสาวของผมนี่แหละที่อยู่บ้าน และก็ทำให้ผมคาดเดารูปร่างหน้าตาเจ้าสาวผมว่าคงประมาณนี้แหละมั่ง เพราะพี่น้องกันหน้าตาก็คงจะคล้ายๆกัน น้องสาวของเจ้าสาวผมที่ว่าก็คือ น้องเปรี้ยวในขณะนั้น หรือคุณนายเปรี้ยวในขณะนี้นี่แหละ  และเธอยังเอารูปถ่ายของพี่สาวบ้าง จดหมายของพี่สาวบ้างมาให้ผมดู






       แถมเธอยังเสนอตัวเป็นแม่สื่อให้ผมอีกด้วย ในช่วงนั้นผมเองก็สองจิตสองใจเพราะว่าผมยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าสาวผมเลยว่าเธอจะเป็นคนอย่างไรก็ไม่รู้ และอีกอย่างเธอจะชอบผู้ชายขี้เหร่ บ้านนอกคอกนา แถมยังขี้เหล้าเมายาอย่างผมหรือปล่าวก็ไม่รู้ แต่ผมก็อดสนใจไม่ได้เพราะผมก็ชอบและศรัทธาในครอบครัวของเจ้าสาวผมเป็นทุนอยู่แล้ว สุดท้ายก็ลองติดต่อผ่านทางแม่สื่อของผมเพื่อลองเชิงดู








       และแล้วในที่สุดผมก็มีโอกาสได้พบเจอกับเจ้าสาวผมจนได้ จำได้ว่าเป็นช่วงสงกรานต์ของปีหนึ่ง แต่การพบกันครั้งแรกของเธอกับผม มันทำให้ผมแปลกใจมาก และก็ตกใจด้วย เพราะผมไม่ได้พบกับเจ้าสาวผมคนเดียว แต่เธอมากับเพื่อนที่แต่งตัวเท่สุดๆ แถมดูสนิทสนมกันพอสมควร มันทำให้ผมถอดใจไปเลย แต่ตอนหลังก็ได้รับคำอธิบายจากคุณนายเปรี้ยวว่าเขาเป็นแค่เพื่อนกัน แถมยังเป็นผู้หญิงไม่ไช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิงเท่ แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้ผมหวั่นใจไม่หาย






       หลังจากเคลียเรื่องราวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากการสอบถามถึงสถานะที่ชัดเจนของเจ้าสาวผมแล้ว ผมจึงเริ่มขนมจีบ และจากการสังเกตุพฤติกรรมของเธอระหว่างการพูดคุยพบปะกัน โดยผู้ที่มีประสบการณ์ขั้นเทพอย่างผมก็พอจะมองออกว่า เจ้าสาวของผมก็สนใจในตัวผมไม่ไช่น้อยอยู่เหมือนกัน














       ครั้งแรกที่ผมชวนเจ้าสาวของผมไปเที่ยว ผมก็ชวนแบบอ้อมๆ ผ่านทางคุณพ่อตาผม แบบว่าชวนไปทั้งครอบครัวเลย แต่จริงๆ แล้วผมอยากชวนเฉพาะเจ้าสาวของผมไปคนเดียวมากกว่า แต่คุณพ่อตา เพื่อนของคุณพ่อตา ก็ทำเป็นไม่เข้าใจ เลยไปกันหมดเลย เต็มท้ายรถกระบะผมเลย ในครั้งนั้นจำได้ว่าไปเที่ยวกันที่น้ำตกคลองลานช่วงวันสงกรานต์พอดี












        หลังจากผมชวนเธอเที่ยวในครั้งแรกสำเร็จ ผมก็ติดต่อไปมาหาสู่กันกับเจ้าสาวของผมจนถึงขั้นรักใคร่ ชอบพอจนถึงขั้นขอแต่งงานกัน โดยในครั้งนั้นเราตกลงกันว่าจะกลับมาเริ่มต้นกันที่บ้านเกิด แล้วแต่งงานกัน




















       ก่อนที่ผมกับเจ้าสาวจะได้แต่งงานกันมันก็ไม่ไช่เรื่องง่ายๆนัก เพราะตอนนั้นผมเองก็เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือบ้านนอกจนๆ คนหนึ่ง เงินเก็บเงินออมก็ไม่มี บัตรเครดิต เงินกู้ธนาคารสมัยนั้นก็ไม่สามารถกู้เขาได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ โชคดีที่คุณพ่อตากับ คุณแม่ยายใจดี เรียกสินสอดไม่แพงมาก โดยเรีอกค่าสินสอดเป็นเงิน 40,000 บาท กับทองอีก 4 บาท ถึงกระนั้นผมเองก็มีไม่พอต้องพึ่งพาพ่อกับแม่จึงจะหามาครบทำเอาเกือบไม่ได้แต่งเหมือนกัน






        งานแต่งงานของผมกับเจ้าสาวก็จัดแบบเรียบๆ เน้นถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย รวมถึงทางฝ่ายคุณพ่อตา คุณแม่ยายเองก็ต้องการจัดแบบชาวบ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดงานด้วย ก็เลยจัดงานกันแบบเล็กๆ


















       ช่วงจัดงานก็ได้บรรดาลูกศิษย์ลูกหามาช่วยจัดงานกันคนละไม้คนละมือ ทั้งรุ่นใหญ่


























      รุ่นเล็ก






























      รวมถึงลูกศิษย์สาวๆ ก็มาช่วยจัดดอกไม้ ทำกับข้าวกับปลา ต้อนรับแขกเรื่อให้ด้วย


























      จากวันแต่งงานวันนั้น วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงวันนี้ผมยังประทับใจกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไม่ลืมเลือน ทุกครั้งที่ผมเอารูปถ่ายวันแต่งงานมาดู ผมจะมีความสุขเหมือนกับเหตุการณ์วันแต่งงานของผมเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง


















       ทั้งๆที่เราแต่งงานกันมา 11 ปีแล้วและเจ้าสาวผมก็เปลี่ยนสถานะมาเป็นภรรยาและคุณแม่ของลูกสาวจอมดื้อสองคนของผม ที่เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้เข้าชม Blog ของผมรับฟัง ส่วนหนึ่งอยากจะแนะนำและเสนอแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ที่อันที่จริงแล้วไม่สามารถแสดงเป็นต้นแบบให้ปฏิบัติตาม หรือชี้แนะแนวทางให้ทำตามอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จากการได้พบได้เห็นหลายๆคู่ที่แต่งงานกันแล้วไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ให้ตลอดรอดฟังได้ อาจจะใช้แนวคิดของผมเอาไปเป็นแบบอย่างในบางช่วงจังหวะของชีวิตได้ จากนิยามความรักของผม ที่ผ่านการใช้ชีวิตคู่มาครึ่งทางแล้วนั้น ผมคิดว่าการจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ไม่ไช่จะมีเฉพาะความรักแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง มันต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่ต้องมีร่วมกัน อย่างเช่น ครอบครัวผมในการประกอบความรักของผมเริ่มต้นจากความพึ่งพอใจกันทั้งสองฝ่าย ที่ต้องเริ่มต้นด้วยความละเลิกในสิ่งที่ตัวเองปราถนาและค้นหา แล้วมุ่งหน้าสร้างชีวิตเพื่ออนาคตของครอบครัวและทายาท เปลี่ยนความรักในช่วงเริ่มต้นมาเป็นความผูกพัน ห่วงหาอาทรกันในภายหลัง เท่านี้ก็ทำให้ครอบครัวผมมีความสุขตลอดมา และผมจะต้องทำให้มันคงอยู่ตลอดไป


สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ












   


3 ความคิดเห็น:

  1. ภัทรพล(ประวิทย์)ประทับใจมากๆครับท่าน

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วช่วยติชมด้วยนะครับ แรกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ25 มีนาคม 2557 เวลา 20:52

    ซึ้งมากค่ะ

    ตอบลบ