วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งที่เวียงจันทร์

        วันนี้หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานประจำมาเต็มเหนี่ยว กลับถึงบ้านกะว่าจะหาเบียร์เย็นๆดื่มให้ชื่นใจสักขวด แล้วก็นั่งเอกเคนกดูทีวีติดตามข่าวคราวประจำวันให้สบายใจสักหน่อย พอถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าเลยหาซื้อเบียร์มานั่งดื่มไปพรางดูทีวีไปพลาง ในระหว่างดูข่าวทีวี นักข่าวมีสกู๊ปพิเศษเรื่องระบบสัญญาณ 3 จี ที่กำลังจะเปิดประมูลให้คนไทยได้ใช้งานกัน จากที่คิดว่าจะผ่อนคลายอารมณ์ กลับทำให้อารมณ์ผมจี๊ดขึ้นมาอีกแล้ว เลยลืมตัวอุทานเสียงดังๆ จนลูกเมียตกอกตกใจไปว่า "แม่ง..มึ.....เอ๋ย ประเทศลาวเขาใช้ 4 จีกันแล้ว พวก มึ..ยังทะเลาะกันไม่เลิกเลย แล้วเมื่อไรคนไทยจะได้ใช้ 3 จีกับเข้าเสียทีวะ" หลังจากได้ระบายอารมณ์ไปแล้วเลยกระดกเบียร์ไป 1 แก้วอารมณ์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย หลังจากอารมณ์เริ่มผ่อนคลายแล้ว ใจเลยแว๊บขึ้นมาถึงประเทศลาว เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีประสบการณ์หรือบุญพาวาสนาส่งก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้ เพราะผมมีโอกาสได้ไปทำงานทำการถึงเวียงจันทน์ประเทศลาวมาแล้ว โดยไปทำงานอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ เห็นจะได้




        เอาเป็นว่าขอเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่เวียงจันทน์ ให้ผู้เข้ามาชม Blog ผมฟังดีกว่า เพราะน่าจะสนุกกว่าเรื่อง 3 จีที่ประเทศไทยกำลังจะเตรียมเปิดการประมูลเป็นแน่แท้ ในช่วงปี พ.ศ.2537 - 2539 โดยประมาณนี้แหละครับ ผมมีโอกาสได้ทำงานที่ บริษัท ทีพีไอ คอนกรีต จำกัด สมัครเข้าทำงานครั้งแรกในตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง ในครั้งนั้นผมสมัครเข้าทำงานในรุ่นแรกๆ ของบริษัท เพราะตอนนั้นบริษัทเพิ่งจะเปิดตัวใหม่ๆ พูดแล้วจะหาว่าโม้ ผมต่ายเต้าตั้งแต่ ช่างซ่อมบำรุงธรรมดาๆ ที่ทำงานในสาขาถนนจันทร์ตัดใหม่ เขตภาคกลางประจำจังหวัดกรุงเทพฯ จนสามารถเลื่อนขึ้นไปเป็นตำแหน่ง หัวหน้าเขตผลิตภาคอิสาน โดยประจำที่จังหวัดอุดรฯ ภายในเวลาปีกว่าๆ เอง ฝีมือล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเป็นตัวช่วยแน่นอน พิสูจน์ได้จากสไตล์การทำงานของผมในปัจจุบัน และตอนที่ประจำอยู่ที่จังหวัดอุดรฯ นี่แหละที่มีโอกาสได้ไปทำงานที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว

     เรื่องมันมีอยู่ว่าสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจวัตถุดิบมาที่เขตภาคอิสานเพื่อให้ผมซึ่งเป็นเจ้าถิ่นในขณะนั้น นำพาไปสำรวจวัตถุดิบที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว วัตถุดิบที่ว่าก็คือภูเขาหินปูนซึ่งจะสามารถระเบิดนำมาเป็นส่วนผสมของคอนกรีตในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จเพื่อจำหน่ายในเขตภาคอิสาน ซึ่งขณะนั้นคอนกรีตผสมเสร็จบูมสุดๆ เลย






     หลังจากประสานกำหนดวันเวลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในวันเดินทาง เราเดินทางออกจากจังหวัดอุดรฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 60 กิโลเมตร ถึงหนองคายก็ไปติดต่อขอใบอนุญาติทำงานและใบผ่านแดนเพื่อข้ามฟากไปยังเวียงจันทน์ประเทศลาวที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ในการข้ามฟากครั้งนั้นเราไม่ได้ข้ามที่สะพานไทยลาวแต่เราข้ามที่ ท่าเรือท่าเสด็จเพื่อพาเจ้าหน้าที่สำรวจเที่ยวไปในตัวในระหว่างเดินทาง กะโชว์อ๊อฟ อีกแล้วเรา สำหรับท่าเรือท่าเสด็จนอกจากเป็นท่าเรือข้ามฟากแล้วบริเวณด้านข้างท่าเรือยังมีตลาดซึ่งมีสินค้าของจีน เวียดนาม ไทย ลาว วางขายในราคาถูกให้เลือกซื้อเยอะแยะเลย ใครมาหนองคายก็ต้องมาหาซื้อของฝากแถวนี้แหละ

      ราคาค่าเรือข้ามฟากตอนนั้นราคาก็คนละ 30 บาท นั่งสัก 15 นาทีก็ถึงฝั่งแล้ว เพราะแม่น้ำโขงช่วงท่าเสด็จหนองคายข้ามไปท่าเดื่อเวียงจันทน์ไม่กว้างเท่าไร มองก็เห็นฝั่งตรงข้ามแล้ว













      ถึงฝั่งท่าเรือบ้านท่าเดื่อ ต่อแท็กซี่ (สกายแลป) เพื่อไปเวียงจันทน์ค่าโดยสารประมาณ 8000 กีบ นั่งกินลมแบบเดียวสัก 15 กิโลเมตรก็ถึงเวียงจันทน์แล้ว













     เกสต์เฮ้าส์ที่เราไปพักก็เป็นระดับประมาณสามดาว พอถึงเอาข้าวของไปเก็บแล้ว ก็พาพวกเจ้าหน้าที่สำรวจฯ ไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่เวียงจันทน์ดีพาร์ทเม้นสโตร์สักหน่อย เพราะหรูสุดๆแล้วในเวียงจันทน์ ได้ข่าวว่าเจ้าของก็เป็นนักธุรกิจไทยด้วย น่าจะลองไปอุดหนุนสักหน่อย..










   คืนแรกพักผ่อนก่อนเพราะเหนื่อยกับการเดินทาง อีกอย่างพรุ่งนี้ต้องไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน(จำชื่อหมู่บ้านไม่ได้) แต่รู้ว่าอยู่แถวแขวงไชยเชษฐา เขตเวียงจันทน์นี่แหละ เพื่อให้เขาพาเราไปบริเวณภูเขาที่บริษัทฯ จะมาสัมปทาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจฯ จะได้ทำการสำรวจตามวัตถุประสงค์เขา ตามที่สำนักงานใหญ่ส่งมา








   บางวันที่ทำงานเสร็จเร็วก็จะออกมาหาถ่ายรูปตามสถานที่สำคัญของเวียงจันทร์ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกกัน ซึ่งจริงๆแล้วเลิกงานก่อนเวลาทุกวัน ไม่ไช่ขี้เกียจนะแต่ตื่นเต้นที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก..
















    สภาพของเวียงจันทน์ช่วงที่ผมไปในช่วงนั้น รถรายังไม่ค่อยมีเท่าไร เงียบๆ สี่แยกไฟแดงก็ยังมีไม่กี่แห่งเลย สภาพโดยทั่วไปถ้าใครเคยอยู่แถวอิสานแล้ว ผมว่ามันเหมือนๆ กันเลย ไม่น่าจะแบ่งเป็น 2 ประเทศเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะภาษาพูดผมว่าฟังง่ายกว่าคนอิสานบางจังหวัดพูดอีก ภาษาเขียนก็พออ่านรู้เรื่อง เหมือนอยู่จังหวัดอะไรสักจังหวัดของประเทศไทยมากกว่า







   อีกอย่างที่ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันก็คือ เวลาพักเที่ยงข้าราชการห้างร้านประเทศลาว พักเที่ยง 2 ชั่วโมง
แหม.. อันนี้น่านำมาใช้ประเทศเราบ้างเนอะ ช่วงกลางคืนหลังเที่ยงคืน อาคารห้างร้านพากันปิดเงียบหมดดังนั้นใครคิดจะท่องราตรีคงต้องผิดหวังถ้ามาเที่ยวที่เวียงจันทน์





   เรื่องอาหารการกินยิ่งเหมือนกันใหญ่บ้านเรามีเบียร์สิงห์ บ้านเขามีเบียร์เสือ บ้านเรามีบุหรี่สายฝน บ้านเขามีบุหรี่สายลม เงินทองสามารถใช้ร่วมกันอย่างสบาย จ่ายเงินไทยทอนเงินลาว..



















    เรื่องศาสนายิ่งหนัก เหมือนกันเป๊ะ คนลาวยิ่งเคร่งศาสนาพุทธมากกว่าบ้านเราซะอีก ประเพณีวัฒนธรรมยังคงอยู่ครบ ไม่เหมือนบ้านเราเริ่มเสื่อมลงทุกวันๆ










 ช่วงที่พ่อมาเยี่ยมเลยพาพ่อไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ หลายแห่งอย่างเช่นวัดพระแก้ว ที่เหลือแต่ฐานพระเพราะองค์พระมาอยู่ประเทศไทยแล้ว มาอย่างไรก็ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์เอาเองแล้วกัน แต่ที่น่าทึ่งก็คือวัดพระแก้วที่ประเทศลาวถึงแม้จะมีแต่เพียงฐานพระแต่ประชาชนก็ยังเข้ามากราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่นทุกวัน เห็นแล้วก็อดหดหู่ใจไม่ได้

















   ด้วยความที่คล้ายคลึงกันของสองประเทศ พ่อผมซึ่งเป็นคนร้อยเอ็ด ตอนพาพ่อเที่ยว พ่อยังแซวเลยว่า เอ๊ะนี่เราอยู่ร้อยเอ็ด หรือเวียงจันทน์กันแน่วะต้อย..



















  วัดในเวียงจันทน์ยังคงสภาพให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะในวันพระจะมีผู้คนเข้ามาทำบุญกัน ทั้งเด็กเล็กหนุ่มสาวคนเฒ่าคนแก่ เต็มวัดไปหมด ไม่เหมือนเมืองไทยจะมีแต่คนแก่เป็นส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำบุญกันในวันพระ












   ส่วนเรื่องการศึกษาเวียงจันทน์มีมหาวิทยาลัยดงโดดที่คนลาวนิยมเข้าเรียนกัน ถ้าเปรียบบ้านเราก็ประมาณจุฬาฯ นั่นแหละ การแต่งกายของนักศึกษาที่ประเทศลาว จะแต่งตัวเรียบร้อย ใส่เสื้อขาวแขนยาว นุ่งผ้าซิ่นสวมเข็มขัดเงินดูน่ารักแบบเรียบร้อยดี ไม่เหมือนนักศึกษาในประเทศไทยที่ใส่กระโปรงซะสั้นจนจะเห็น.....อยู่แล้ว ส่วนเสื้อก็ใส่รัดติ้ว จนกระดุมแทบจะขาดกระเด็นออกมาโดนตาผู้ที่จ้องมองปอดอยู่แล้ว






  จริงๆ แล้วมีเรื่องเล่าในเวียงจันทน์อีกแยะ โดยเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่องของน้อง "ด๋อง" สาวลาวแสนสวยลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน ที่มารับหน้าที่เป็นผู้พาพวกเราเที่ยวที่เวียงจันทน์ แต่เบียร์หมดขวดพอดี ต้องขอตัวไปซื้อมาเติมสักหน่อย แล้วในเรื่องต่อไปจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับน้องเค้าครับ... สบายดี
















เพลงดวงจำปา (เพลงประจำชาติลาว)
โอ้ดวงจำปา เวลา ซมน้อง* 
นึกเห็น พลันส่อง มองห็น หัวใจ
เฮา นึก ขึ้นได้ ใน กลิ่น เจ้าหอม
เห็น สวนดอกไม้ บิดา ปลูก ไว้ ตั้งแต่ นานมา*2
เวลา ง่วมเหงา** เจ้า ซ่วย บรรเทา เฮา หาย โศกา
เจ้าดวงจำปา คู่เคียง เฮามา แต่ ยามน้อย เอย

     กลิ่น เจ้า สำคัญ ติดพัน หัวใจ 
เป็น น่าฮักใคร่ แพงไว้ เชยชม 
ยาม เหงา เฮาดม โอ้จำปาหอม***
เมื่อ ดม กลิ่นเจ้า ปาน พบ เพื่อน เก่า**** ที่ พรากจากไป
เจ้า เป็น ดอกไม้ ที่งามวิไล ตั้งแต่ ใดมา
เจ้า ดวงจำปา มาลา ขวัญฮัก ของ เฮียม นี้เอย 

โอ้ ดวงจำปา บุปผา เมืองลาว 
งามดั่งดวงดาว ชาวลาว เพิงใจ***** 
เกิดอยู่ ภายใน แดนดิน ล้านช้าง
เมื่อได้ พลัดพราก หนีไป ไกลจาก บ้านเกิด เมืองนอน******
เฮียม****** จะ เอา เจ้า เป็น เพื่อน ฮ่วมเหงา******* เท่า สิ้น ชีวา 
เจ้าดวงจำปา มาลางามยิ่ง มิ่งเมืองลาวเอย.




4 ความคิดเห็น:

  1. อุแหม่ๆๆๆสู้ดดดดดยอดครับ อัฟ..อัฟฟฟฟฟ

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  3. ดีคับ

    สบายดีกันหรือป่าว

    อิอิ

    ตอบลบ
  4. อยากไปเที่ยวจัง

    ตอบลบ