วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก

           ผมจำไม่ได้แล้วว่า ผมรู้สึกตื่นเต้นครั้งสุดท้ายเมื่อไร เวลาถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพราะเดือนนี้มันมีวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรักที่บรรดาหนุ่มๆสาวๆเขาตื่นเต้นวี้ดหว้าดกันทุกครั้งที่มาถึง แต่สำหรับผมทุกครั้งที่ถึงเดือนนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันรู้สึกเฉยๆเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่ในทุกปีพอถึงเดือนนี้และรวมถึงปีนี้ด้วย เวลาไม่ว่าผมจะไปทางใหนก็จะเห็นสัญลักษณ์แห่งความรักสดุดตาผมไปทั่ว ไม่ว่าจะไปซื้อข้าวของที่ตลาดก็ยังเห็นร้านขายดอกกุหลาบแดงเต็มไปหมด แม้กระทั่งตอนผมจะเริ่มงานประจำวัน เปิดเครื่องคอมฯ ตรวจสอบ E-mail ก็ยังเจอเครือข่ายเพื่อนฝูงส่งรูปภาพ Animation สวยๆ มาอวยพรเยอะแยะเต็มจอไปหมด จนอดที่จะนึกถึงเมื่อครั้งที่หัวใจผมพองโต เต้นตุ๊บตั๊บในวันวาเลนไทน์สมัยยังหนุ่มเอาะๆ ไม่ได้ ถึงแม้ปัจจุบันหัวใจของผมความรู้สึกรักใคร่พิสวาทแบบหนุ่มๆสาวๆมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็น หัวใจที่มีแต่ความรักแบบห่วงใยห่วงหาอาทรกับครอบครัวไปแล้ว สุดท้ายเลยไปหยิบอารบัมรูปเก่าๆ สมัยตอนแต่งงานกับแฟนผม หรือแม่ของลูกสาวผมมาดู เพราะเราก็แต่งงานกันเดือนกุมภาพันธ์เหมือนกัน เราแต่งกันเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงแม้ตอนแต่งงานเราจะแต่งงานกันแบบเรียบง่ายไม่ได้ใหญ่โตมโหราญเหมือนคู่แต่งงานคู่อื่นๆเขา รวมถึงกว่าที่เราจะได้แต่งงานกันได้ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามต่างๆมากมาย กว่าจะได้แต่งงานกันได้ คิดถึงอดีตแล้วก็อดที่จะอมยิ้มเล็กๆไม่ได้
       แต่ก่อนที่ผมจะเล่าถึงความรักก่อนแต่งงาน และอุปสรรคขวากนามรวมถึงบรรยากาศในงานแต่งงานของผม ผมขอแนะนำประวัติเจ้าสาวของผมในอดีตหรือแม่ของลูกสาวสองคนของผมในปัจจุบันให้ทราบกันสักหน่อย เจ้าสาวผมชื่อนางสาวน้ำอ้อย เอี่ยมอ่ำ หรือชื่อที่ผมเรียกจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "ปู" เธอเป็นลูกสาวคนโตจากทั้งหมด 5 คน ที่คุณพ่อตาผมตั้งชื่อให้เธอว่าปูเพราะ แกเคยเล่าให้ผมฟังว่าสมัยคุณแม่ยายท้องเจ้าสาวผม คุณพ่อตากับคุณแม่ยายของผมพักอาศัยอยู่ที่บางปู จังหวัดสมุทรปราการ พอคลอดเจ้าสาวผมออกมาเลยตั้งชื่อลูกว่าปูซะเลย บุคลิกส่วนตัวของเจ้าสาวผม ที่เป็นจุดเด่นจนทำให้ผมประทับใจเธอก็คือ เธอเป็นคนใจเย็น สุขุมรอบคอบ ไม่จู้จี้จุกจิก รวมถึงเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ในช่วงที่เธอยังโสดคุณพ่อตาเล่าให้ผมฟังบ่อยๆว่า เจ้าสาวของผมทำงานส่งเสียครอบครัว รวมถึงส่งเสียน้องๆ เรียนหนังสือด้วย จนเป็นที่รักของครอบครัวทุกคน
        ก่อนที่ผมจะรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าสาวของผม ผมรู้จักคุ้นเคยกับคุณพ่อตาของผมก่อน เป็นเพราะคุณพ่อตาผมกับพี่ชายผม ซึ่งจริงๆแล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม แต่ผมก็รักและนับถือเหมือนพี่ชายจริงๆ ผมคนหนึ่งซึีงถ้ามีโอกาสผมจะเล่าถึงเรื่องราวของแกให้ฟังเพราะพี่ชายผมคนนี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย แกสองคนสนิทสนมกันมาก เป็นแก็งคอดื่มเหมือนกันรวมถึงเคยไปผจญภัยในดินแดนเขมรแถบชายแดนอรัญประเทศ จังหวัดตราดมาด้วยกันแล้ว ซึ่งวีรกรรมของทั้งสองคน ถ้ามีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง ในช่วงที่ผมรู้จักคุณพ่อตาผมใหม่ๆ ผมเองก็รู้สึกประทับใจในตัวท่านหลายอย่าง เช่น การเป็นลูกผู้ชาย การต่อสู้ดิ้นรนผจญภัยตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นหนุ่ม รวมถึงฝีไม้ลายมือในด้านต่างๆ ที่แกเล่าให้ฟังระหว่างนั่งดื่มด้วยกัน
     อาจเป็นเพราะผมชื่นชมศรัทธาในตัวคุณพ่อตาผมเป็นทุนอยู่แล้วก็ไม่รู้ พอรู้ว่าแกมีลูกสาวก็เลยมีความสนใจอยากร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับแก ในช่วงแรกๆ ผมยังไม่ได้เจอกับเจ้าสาวผมหรอกนะ เพราะเธอทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จะมีก็แต่น้องๆ ของเธออยู่ที่อยู่ที่บ้าน จะได้ยินเรื่องราวของเจ้าสาวผม ก็ตอนที่คุณพ่อตาพูดถึงให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ เวลานั่งคุยกัน












       ได้ยินคุณพ่อตาพูดถึงลูกสาวคนโตให้ผมฟังบ่อยมาก ส่วนใหญ่เนื้อหาที่พูดให้ฟังก็มีแต่คำชื่นชมดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าสักที จะมีก็แต่น้องสาวของคุณเจ้าสาวของผมนี่แหละที่อยู่บ้าน และก็ทำให้ผมคาดเดารูปร่างหน้าตาเจ้าสาวผมว่าคงประมาณนี้แหละมั่ง เพราะพี่น้องกันหน้าตาก็คงจะคล้ายๆกัน น้องสาวของเจ้าสาวผมที่ว่าก็คือ น้องเปรี้ยวในขณะนั้น หรือคุณนายเปรี้ยวในขณะนี้นี่แหละ  และเธอยังเอารูปถ่ายของพี่สาวบ้าง จดหมายของพี่สาวบ้างมาให้ผมดู






       แถมเธอยังเสนอตัวเป็นแม่สื่อให้ผมอีกด้วย ในช่วงนั้นผมเองก็สองจิตสองใจเพราะว่าผมยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าสาวผมเลยว่าเธอจะเป็นคนอย่างไรก็ไม่รู้ และอีกอย่างเธอจะชอบผู้ชายขี้เหร่ บ้านนอกคอกนา แถมยังขี้เหล้าเมายาอย่างผมหรือปล่าวก็ไม่รู้ แต่ผมก็อดสนใจไม่ได้เพราะผมก็ชอบและศรัทธาในครอบครัวของเจ้าสาวผมเป็นทุนอยู่แล้ว สุดท้ายก็ลองติดต่อผ่านทางแม่สื่อของผมเพื่อลองเชิงดู








       และแล้วในที่สุดผมก็มีโอกาสได้พบเจอกับเจ้าสาวผมจนได้ จำได้ว่าเป็นช่วงสงกรานต์ของปีหนึ่ง แต่การพบกันครั้งแรกของเธอกับผม มันทำให้ผมแปลกใจมาก และก็ตกใจด้วย เพราะผมไม่ได้พบกับเจ้าสาวผมคนเดียว แต่เธอมากับเพื่อนที่แต่งตัวเท่สุดๆ แถมดูสนิทสนมกันพอสมควร มันทำให้ผมถอดใจไปเลย แต่ตอนหลังก็ได้รับคำอธิบายจากคุณนายเปรี้ยวว่าเขาเป็นแค่เพื่อนกัน แถมยังเป็นผู้หญิงไม่ไช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิงเท่ แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้ผมหวั่นใจไม่หาย






       หลังจากเคลียเรื่องราวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากการสอบถามถึงสถานะที่ชัดเจนของเจ้าสาวผมแล้ว ผมจึงเริ่มขนมจีบ และจากการสังเกตุพฤติกรรมของเธอระหว่างการพูดคุยพบปะกัน โดยผู้ที่มีประสบการณ์ขั้นเทพอย่างผมก็พอจะมองออกว่า เจ้าสาวของผมก็สนใจในตัวผมไม่ไช่น้อยอยู่เหมือนกัน














       ครั้งแรกที่ผมชวนเจ้าสาวของผมไปเที่ยว ผมก็ชวนแบบอ้อมๆ ผ่านทางคุณพ่อตาผม แบบว่าชวนไปทั้งครอบครัวเลย แต่จริงๆ แล้วผมอยากชวนเฉพาะเจ้าสาวของผมไปคนเดียวมากกว่า แต่คุณพ่อตา เพื่อนของคุณพ่อตา ก็ทำเป็นไม่เข้าใจ เลยไปกันหมดเลย เต็มท้ายรถกระบะผมเลย ในครั้งนั้นจำได้ว่าไปเที่ยวกันที่น้ำตกคลองลานช่วงวันสงกรานต์พอดี












        หลังจากผมชวนเธอเที่ยวในครั้งแรกสำเร็จ ผมก็ติดต่อไปมาหาสู่กันกับเจ้าสาวของผมจนถึงขั้นรักใคร่ ชอบพอจนถึงขั้นขอแต่งงานกัน โดยในครั้งนั้นเราตกลงกันว่าจะกลับมาเริ่มต้นกันที่บ้านเกิด แล้วแต่งงานกัน




















       ก่อนที่ผมกับเจ้าสาวจะได้แต่งงานกันมันก็ไม่ไช่เรื่องง่ายๆนัก เพราะตอนนั้นผมเองก็เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือบ้านนอกจนๆ คนหนึ่ง เงินเก็บเงินออมก็ไม่มี บัตรเครดิต เงินกู้ธนาคารสมัยนั้นก็ไม่สามารถกู้เขาได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ โชคดีที่คุณพ่อตากับ คุณแม่ยายใจดี เรียกสินสอดไม่แพงมาก โดยเรีอกค่าสินสอดเป็นเงิน 40,000 บาท กับทองอีก 4 บาท ถึงกระนั้นผมเองก็มีไม่พอต้องพึ่งพาพ่อกับแม่จึงจะหามาครบทำเอาเกือบไม่ได้แต่งเหมือนกัน






        งานแต่งงานของผมกับเจ้าสาวก็จัดแบบเรียบๆ เน้นถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย รวมถึงทางฝ่ายคุณพ่อตา คุณแม่ยายเองก็ต้องการจัดแบบชาวบ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดงานด้วย ก็เลยจัดงานกันแบบเล็กๆ


















       ช่วงจัดงานก็ได้บรรดาลูกศิษย์ลูกหามาช่วยจัดงานกันคนละไม้คนละมือ ทั้งรุ่นใหญ่


























      รุ่นเล็ก






























      รวมถึงลูกศิษย์สาวๆ ก็มาช่วยจัดดอกไม้ ทำกับข้าวกับปลา ต้อนรับแขกเรื่อให้ด้วย


























      จากวันแต่งงานวันนั้น วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงวันนี้ผมยังประทับใจกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไม่ลืมเลือน ทุกครั้งที่ผมเอารูปถ่ายวันแต่งงานมาดู ผมจะมีความสุขเหมือนกับเหตุการณ์วันแต่งงานของผมเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง


















       ทั้งๆที่เราแต่งงานกันมา 11 ปีแล้วและเจ้าสาวผมก็เปลี่ยนสถานะมาเป็นภรรยาและคุณแม่ของลูกสาวจอมดื้อสองคนของผม ที่เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้เข้าชม Blog ของผมรับฟัง ส่วนหนึ่งอยากจะแนะนำและเสนอแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ที่อันที่จริงแล้วไม่สามารถแสดงเป็นต้นแบบให้ปฏิบัติตาม หรือชี้แนะแนวทางให้ทำตามอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จากการได้พบได้เห็นหลายๆคู่ที่แต่งงานกันแล้วไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ให้ตลอดรอดฟังได้ อาจจะใช้แนวคิดของผมเอาไปเป็นแบบอย่างในบางช่วงจังหวะของชีวิตได้ จากนิยามความรักของผม ที่ผ่านการใช้ชีวิตคู่มาครึ่งทางแล้วนั้น ผมคิดว่าการจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ไม่ไช่จะมีเฉพาะความรักแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง มันต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่ต้องมีร่วมกัน อย่างเช่น ครอบครัวผมในการประกอบความรักของผมเริ่มต้นจากความพึ่งพอใจกันทั้งสองฝ่าย ที่ต้องเริ่มต้นด้วยความละเลิกในสิ่งที่ตัวเองปราถนาและค้นหา แล้วมุ่งหน้าสร้างชีวิตเพื่ออนาคตของครอบครัวและทายาท เปลี่ยนความรักในช่วงเริ่มต้นมาเป็นความผูกพัน ห่วงหาอาทรกันในภายหลัง เท่านี้ก็ทำให้ครอบครัวผมมีความสุขตลอดมา และผมจะต้องทำให้มันคงอยู่ตลอดไป


สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ












   


วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เขาบอกว่าปีนี้ "ปีระกาไก่ชง" แต่ผมมันดวง "ไก่ชน"

    ตรุษจีนปีนี้มีหลายคนที่รู้ว่าผมเกิดปีระกามาแนะนำผมว่า ปีนี้ในตำราจีนบอกว่าปีระกาชง ต้องแก้อย่างนั้น ต้องทำบุญอย่างนี้ ในตำราบอกอย่างนี้ครับ
     สำหรับปีเถาะ พ.ศ.2554 นี้ องค์ไท้ส่วยที่ลงมาสถิตเฝ้าปี มีพระนามว่า "ห่วมเล้งไต่เจียงกุง" 
ในปี 2554 ท่านที่มีปีเกิดที่ชงกับปีนี้ และควรไปไหว้ “องค์ไท้ส่วย” คือ ท่านที่เกิดปี ดังต่อไปนี้
      1. ปีระกา (ไก่) ชง (ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีเถาะโดยตรง
       2.ปีเถาะ (กระต่าย) ทับไท้ส่วย
       3.มะเมีย(ม้า) ปีร่วมชง และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีเถาะด้วย
       
      4. ปีชวด (หนู) ปีร่วมชง และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีเถาะด้วย 
        จริงๆแล้วผมก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันแต่ในใจก็คิดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเราเกิดมาตายครั้งเดียว แต่ก็มิได้หลบลู่ดูถูกหลอก และที่สำคัญ ผมคิดว่าผมคงจะอยู่รอดปลอดภัยตลอดปี 2554 แน่ถึงแม้ผมจะเกิดปีระกาไก่ แต่ดวงของผมมันไม่ไช่ไก่ธรรมดาครับ แต่ดวงของผมมันดวง "ไก่ชน" ไก่นักสู้แห่งท้องถิ่นชนบทของพี่น้องไทยเรา
       เอาเป็นว่าผมจะทำบุญเยอะๆ ครับในปีนี้ เพราะเขาบอกว่าจิ้งจกทักหลายคนยังหยุด นี่ตำราโบร่ำโบราญทักจะไม่เชื่อได้อย่างไร พอพูดถึงไก่ โดยเฉพาะไก่ชน ผมก็มีประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องไก่ชน จะเล่าให้ผู้เข้าชม Blog ผมฟังหน่อย เผื่อบางคนอาจจะคอเดียวกัน หรือมีความชอบส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องสัตว์เลี้ยงอย่างเช่นไก่ชน ไก่ยอดนักสู้เหมือนกันกับผม..























     ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2541 ตอนนั้นผมยังทำงานเป็นครูสอนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร และก็พักอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่ที่กำแพงเพชร ช่วงนั้นการเลี้ยงไก่ชนนิยมกันมากในหมู่ชาวบ้านในจังหวัดกำแพงเพชร และอีกหลายๆแห่งทั่วประเทศ หมู่บ้านผมเองก็นิยมเลี้ยงไก่ชนไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน ทั้งเลี้ยงเพื่อเอาไว้ชน เลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์เอาไปจำหน่ายจ่ายแจกก็มี โดยที่หมู่บ้านผมอินเตอร์กว่าที่อื่นหน่อย ตรงที่ได้ไปขอจดทะเบียนเป็นชมรมผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองลูกพระยาลิไท เพื่อรวมกลุ่มกันพัฒนาสายพันธุ์ และผมก็มีโอกาสได้เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาของชมรมฯ ของหมู่บ้านซะด้วย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผมเองก็มีใจชอบเลี้ยงไก่ชนเป็นทุนอยู่แล้ว หรือเพราะผมมีสมัครพรรคพวกในวงการไก่ชนหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญระดับมือโปรก็ไม่รู้ จึงถูกไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาชมรมฯ ระหว่างนั้นเองผมก็มีซุ้มไก่ชนเล็กๆ กับเขาเหมือนกันโดยผมเลี้ยงไก่ไว้ประมาณเกือบร้อยตัว และที่ผมสนใจในไก่ชนเป็นพิเศษก็เพราะชอบตรงความเป็นนักสู้ ไม่เกรงกลัวตัวใหนที่ล่วงล้ำถิ่นของตัวเอง เพื่อปกป้องลูกเมียของมันหากมีไก่ชนตัวอื่น หรือสัตว์ชนิดอื่นล่วงล้ำเข้ามาในถิ่นมัน บางตัวมันสู้จนตัวตายเลยก็มี อีกทั้งการเลี้ยงไก่ชนยังเป็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่มีมาแต่โบร่ำโบราญของไทยอีกด้วยเป็นเหตุผลส่วนตัวที่ผมชอบไก่ชน 
    ระหว่างที่ร่วมกิจกรรมกับสมาชิกในชมรมไก่ชนฯ ที่บ้านกำแพงเพชร ผมมีประสบการณ์ดีๆมากมายกับการเลี้ยงไก่ชน ตามประสาหนุ่มบ้านนอกคอกนาที่ไม่มีโอกาสไปออกรอบตีก๊อป ไปเข้าคอร์ดตีเทนนิส เหมือนหนุ่มในเมืองกรุงเขา จะหาความสุขได้ก็ต่อเมื่อได้ไปพูดไปคุยกับลุงป้าน้าอาที่คอเดียวกัน คือเลี้ยงไก่ชนเหมือนกัน ก็สนุกสนานไปอีกแบบ แต่ว่าระหว่างที่ผมศึกษา และเรียนรู้รวมถึงร่วมทำกิจกรรมในวงการไก่ชน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ ช่วงที่ผมมาทำงานที่จังหวัดชลบุรี...



      เพราะว่าผมมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมใกล้ชิดกับผู้ที่รักไก่ชนเหมือนกันกับผมสองท่าน แต่ว่าสองท่านที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากท่านทั้งสองที่ผมจะกล่าวถึงจะรักไก่ชนแล้ว คนหนึ่งเป็นถึงเจ้าสัวใหญ่แห่งค่ายซีพี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่โด่งดัง ก็ท่าน ธนินท์ เจียรวนนท์ ไง และอีกคนเป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิตที่หลายคนคลั่งไคล้สุดๆ รวมถึงตัวผมด้วยก็พี่ แอ๊ดคาราบาว ไงครับ... ได้ยินอย่างนี้แล้วหลายคนคงแปลกใจว่า เอ๊ะ เป็นไปได้หรือที่ท่านสองคนนี้จะชอบไก่ชน..



      ท่านเจ้าสัวธนินท์ ก็เป็นอีกคนที่ชอบไก่ชน และท่านก็สนับสนุนกิจกรรมของชาวไก่ชนมาโดยตลอด พบท่านครั้งแรกที่ศูนย์วิชาการและสาธิตพันธุ์ไก่พื้นเมือง อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี แต่ท่านก็ยังไปร่วมกิจกรรมอีกหลายๆ แห่งกับชาวไก่ชน รวมถึงท่านก็ยังหาตลาดต่างประเทศให้พี่น้องชาวไก่ชนได้ส่งไก่ชนไทยออกนอกด้วยโดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามชอบไก่ชนไทยมาก ทำให้ได้รับเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเพิ่มวงเงินในด้านส่งออกมากขึ้น พี่น้องชาวไก่ชนกินดีอยู่ดีขึ้นตามไปด้วย..
      ท่านเจ้าสัวเป็นกันเองมากกับชาวไก่ชน ทั้งที่ท่านเองก็มีหน้ามีตาในแวดวงธุรกิจ และไม่ได้รู้จักมักจี่แบบเป็นการส่วนตัวกับใคร แต่ท่านก็พูดคุยกับชาวไก่ชนรวมถึงตัวผมเองก็มีโอกาสเข้าไปทักทายสวัสดีท่านอย่างเป็นกันเอง อุเม่ได้ใกล้ชิดคนระดับเจ้าสัวก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา เห็นผู้หลักผู้ใหญ่สนับสนุนอย่างนี้ชาวไก่ชนคงมีความสุขกันทั่วหน้า..











   พี่แอ๊ดก็เป็นอีกคนที่ชอบไก่ชน แถมยังเป็นเจ้าของซุ้มไก่ชนเองอีกด้วย พี่แอ๊ดมีไก่ชนในสังกัดดีๆหลายตัวครับ พี่แอ๊ดถือว่าเป็นคนรักไก่ชนระดับแถวหน้าเลยครับ ถึงขนาดพี่แกเคยแต่งเพลงเพื่อชาวไก่ชนชุดหนึ่งเลยครับ ก็ชุด "เหลืองหางขาว" ไงครับ พี่แอ๊ดกับชาวไก่ชนก็เป็นกันเองดีมากเลยครับ..













       ครั้งที่ร่วมกิจกรรมกัน เลยขอรูปถ่ายลายเซ็นต์ซะเลย เสียดายไม่มีใครถ่ายให้เลยเอาไอ้ม่าให้แกถ่ายคู่ด้วยเป็นที่ระลึก...



































     บรรยากาศในสนามชนไก่ แบบชนสมัครเล่น ไก่ชนไม่ช้ำเพราะมีเครื่องป้องกันเหมือนนักมวยสากลสมัครเล่น เดี๋ยวนี้วงการไก่ชนพัฒนาแล้วครับ...























  แอ็คถ่ายรูปในสนามชนไก่ คนเยอะมากเลยครับทั้งเด็กเล็กคนแก่หนุ่มสาว แสดงว่าคนชอบไก่ชนมีทุกวัย..

























       การชนไก่ผู้หญิงหลายคนก็ชอบดูนะครับ ที่เห็นในรูปนะแฟนผม ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วชอบไก่ชนหรือตามผมไปดูไก่ชนด้วยเพราะความกังวลว่าผมจะแอบไปดู น้องไก่ ที่อื่นกันแน่...





















      ดูกันชัดๆ ว่าในสนามไก่ชนมันไม่เหมือนอย่างที่หลายคนคิดนะ นั่งดูสบายๆ เหมือนสนามกีฬาทั่วไป..

























       ภายในสนามชนไก่มีสถานที่เรียนรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับด้านเกษตรให้ศึกษาด้วยนะครับ โครงการเกษตรผสมผสานก็มีให้เรียนรู้..























      แต่สำหรับผมก็ยังชื่นชมเจ้าพวกไก่ชนสุดหล่อที่มีให้ชมอย่างมากมายจากเหล่าผู้เลี้ยงไก่ชนทั่วประเทศ ดูทั้งวันก็ยังไม่เบื่อเลยครับ..























     ข้อมูลทางวิชาการจากหน่วยงานปศุสัตว์ก็มาให้คำแนะนำเทคนิควิธีการต่างๆ รวมถึงการป้องกันรักษาโรคสัตว์ ให้เหล่าชาวไก่ชนด้วย...























      รูปสุดท้ายให้เป็นเกียรติหน่อยในฐานะผู้ให้การสนับสนุนส่วนตัวในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาเรียนรู้เรื่องไก่ชนของผม ทั้งงบประมาณ เวลา และอะไรอีกหลายอย่าง




       สุดท้าย ท้ายสุดย้อนกลับไปเรื่องของปีชง ในแง่คิดส่วนตัวของผม คิดว่า ตัวเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตเราเองจะให้เดินไปในทางไหน ถ้าปัจจุบันคิดดีทำดี อนาคตก็ต้องดีตามไปด้วย อะไรก็คงไม่สามารถทำอะไรเราได้....แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคบ้างก็ต้องสู้ เหมือนกับ "ไก่ชน" สัตว์ยอดนักสู้ประจำปีเกิดของผม..




       ขอให้มีความสุขในวันตรุษจีนทุกคนนะครับ


            "ซินเจี่ยยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้"










วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งที่เวียงจันทร์

        วันนี้หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานประจำมาเต็มเหนี่ยว กลับถึงบ้านกะว่าจะหาเบียร์เย็นๆดื่มให้ชื่นใจสักขวด แล้วก็นั่งเอกเคนกดูทีวีติดตามข่าวคราวประจำวันให้สบายใจสักหน่อย พอถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าเลยหาซื้อเบียร์มานั่งดื่มไปพรางดูทีวีไปพลาง ในระหว่างดูข่าวทีวี นักข่าวมีสกู๊ปพิเศษเรื่องระบบสัญญาณ 3 จี ที่กำลังจะเปิดประมูลให้คนไทยได้ใช้งานกัน จากที่คิดว่าจะผ่อนคลายอารมณ์ กลับทำให้อารมณ์ผมจี๊ดขึ้นมาอีกแล้ว เลยลืมตัวอุทานเสียงดังๆ จนลูกเมียตกอกตกใจไปว่า "แม่ง..มึ.....เอ๋ย ประเทศลาวเขาใช้ 4 จีกันแล้ว พวก มึ..ยังทะเลาะกันไม่เลิกเลย แล้วเมื่อไรคนไทยจะได้ใช้ 3 จีกับเข้าเสียทีวะ" หลังจากได้ระบายอารมณ์ไปแล้วเลยกระดกเบียร์ไป 1 แก้วอารมณ์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย หลังจากอารมณ์เริ่มผ่อนคลายแล้ว ใจเลยแว๊บขึ้นมาถึงประเทศลาว เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีประสบการณ์หรือบุญพาวาสนาส่งก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้ เพราะผมมีโอกาสได้ไปทำงานทำการถึงเวียงจันทน์ประเทศลาวมาแล้ว โดยไปทำงานอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ เห็นจะได้




        เอาเป็นว่าขอเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่เวียงจันทน์ ให้ผู้เข้ามาชม Blog ผมฟังดีกว่า เพราะน่าจะสนุกกว่าเรื่อง 3 จีที่ประเทศไทยกำลังจะเตรียมเปิดการประมูลเป็นแน่แท้ ในช่วงปี พ.ศ.2537 - 2539 โดยประมาณนี้แหละครับ ผมมีโอกาสได้ทำงานที่ บริษัท ทีพีไอ คอนกรีต จำกัด สมัครเข้าทำงานครั้งแรกในตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง ในครั้งนั้นผมสมัครเข้าทำงานในรุ่นแรกๆ ของบริษัท เพราะตอนนั้นบริษัทเพิ่งจะเปิดตัวใหม่ๆ พูดแล้วจะหาว่าโม้ ผมต่ายเต้าตั้งแต่ ช่างซ่อมบำรุงธรรมดาๆ ที่ทำงานในสาขาถนนจันทร์ตัดใหม่ เขตภาคกลางประจำจังหวัดกรุงเทพฯ จนสามารถเลื่อนขึ้นไปเป็นตำแหน่ง หัวหน้าเขตผลิตภาคอิสาน โดยประจำที่จังหวัดอุดรฯ ภายในเวลาปีกว่าๆ เอง ฝีมือล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเป็นตัวช่วยแน่นอน พิสูจน์ได้จากสไตล์การทำงานของผมในปัจจุบัน และตอนที่ประจำอยู่ที่จังหวัดอุดรฯ นี่แหละที่มีโอกาสได้ไปทำงานที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว

     เรื่องมันมีอยู่ว่าสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจวัตถุดิบมาที่เขตภาคอิสานเพื่อให้ผมซึ่งเป็นเจ้าถิ่นในขณะนั้น นำพาไปสำรวจวัตถุดิบที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว วัตถุดิบที่ว่าก็คือภูเขาหินปูนซึ่งจะสามารถระเบิดนำมาเป็นส่วนผสมของคอนกรีตในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จเพื่อจำหน่ายในเขตภาคอิสาน ซึ่งขณะนั้นคอนกรีตผสมเสร็จบูมสุดๆ เลย






     หลังจากประสานกำหนดวันเวลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในวันเดินทาง เราเดินทางออกจากจังหวัดอุดรฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 60 กิโลเมตร ถึงหนองคายก็ไปติดต่อขอใบอนุญาติทำงานและใบผ่านแดนเพื่อข้ามฟากไปยังเวียงจันทน์ประเทศลาวที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ในการข้ามฟากครั้งนั้นเราไม่ได้ข้ามที่สะพานไทยลาวแต่เราข้ามที่ ท่าเรือท่าเสด็จเพื่อพาเจ้าหน้าที่สำรวจเที่ยวไปในตัวในระหว่างเดินทาง กะโชว์อ๊อฟ อีกแล้วเรา สำหรับท่าเรือท่าเสด็จนอกจากเป็นท่าเรือข้ามฟากแล้วบริเวณด้านข้างท่าเรือยังมีตลาดซึ่งมีสินค้าของจีน เวียดนาม ไทย ลาว วางขายในราคาถูกให้เลือกซื้อเยอะแยะเลย ใครมาหนองคายก็ต้องมาหาซื้อของฝากแถวนี้แหละ

      ราคาค่าเรือข้ามฟากตอนนั้นราคาก็คนละ 30 บาท นั่งสัก 15 นาทีก็ถึงฝั่งแล้ว เพราะแม่น้ำโขงช่วงท่าเสด็จหนองคายข้ามไปท่าเดื่อเวียงจันทน์ไม่กว้างเท่าไร มองก็เห็นฝั่งตรงข้ามแล้ว













      ถึงฝั่งท่าเรือบ้านท่าเดื่อ ต่อแท็กซี่ (สกายแลป) เพื่อไปเวียงจันทน์ค่าโดยสารประมาณ 8000 กีบ นั่งกินลมแบบเดียวสัก 15 กิโลเมตรก็ถึงเวียงจันทน์แล้ว













     เกสต์เฮ้าส์ที่เราไปพักก็เป็นระดับประมาณสามดาว พอถึงเอาข้าวของไปเก็บแล้ว ก็พาพวกเจ้าหน้าที่สำรวจฯ ไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่เวียงจันทน์ดีพาร์ทเม้นสโตร์สักหน่อย เพราะหรูสุดๆแล้วในเวียงจันทน์ ได้ข่าวว่าเจ้าของก็เป็นนักธุรกิจไทยด้วย น่าจะลองไปอุดหนุนสักหน่อย..










   คืนแรกพักผ่อนก่อนเพราะเหนื่อยกับการเดินทาง อีกอย่างพรุ่งนี้ต้องไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน(จำชื่อหมู่บ้านไม่ได้) แต่รู้ว่าอยู่แถวแขวงไชยเชษฐา เขตเวียงจันทน์นี่แหละ เพื่อให้เขาพาเราไปบริเวณภูเขาที่บริษัทฯ จะมาสัมปทาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจฯ จะได้ทำการสำรวจตามวัตถุประสงค์เขา ตามที่สำนักงานใหญ่ส่งมา








   บางวันที่ทำงานเสร็จเร็วก็จะออกมาหาถ่ายรูปตามสถานที่สำคัญของเวียงจันทร์ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกกัน ซึ่งจริงๆแล้วเลิกงานก่อนเวลาทุกวัน ไม่ไช่ขี้เกียจนะแต่ตื่นเต้นที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างหาก..
















    สภาพของเวียงจันทน์ช่วงที่ผมไปในช่วงนั้น รถรายังไม่ค่อยมีเท่าไร เงียบๆ สี่แยกไฟแดงก็ยังมีไม่กี่แห่งเลย สภาพโดยทั่วไปถ้าใครเคยอยู่แถวอิสานแล้ว ผมว่ามันเหมือนๆ กันเลย ไม่น่าจะแบ่งเป็น 2 ประเทศเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะภาษาพูดผมว่าฟังง่ายกว่าคนอิสานบางจังหวัดพูดอีก ภาษาเขียนก็พออ่านรู้เรื่อง เหมือนอยู่จังหวัดอะไรสักจังหวัดของประเทศไทยมากกว่า







   อีกอย่างที่ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันก็คือ เวลาพักเที่ยงข้าราชการห้างร้านประเทศลาว พักเที่ยง 2 ชั่วโมง
แหม.. อันนี้น่านำมาใช้ประเทศเราบ้างเนอะ ช่วงกลางคืนหลังเที่ยงคืน อาคารห้างร้านพากันปิดเงียบหมดดังนั้นใครคิดจะท่องราตรีคงต้องผิดหวังถ้ามาเที่ยวที่เวียงจันทน์





   เรื่องอาหารการกินยิ่งเหมือนกันใหญ่บ้านเรามีเบียร์สิงห์ บ้านเขามีเบียร์เสือ บ้านเรามีบุหรี่สายฝน บ้านเขามีบุหรี่สายลม เงินทองสามารถใช้ร่วมกันอย่างสบาย จ่ายเงินไทยทอนเงินลาว..



















    เรื่องศาสนายิ่งหนัก เหมือนกันเป๊ะ คนลาวยิ่งเคร่งศาสนาพุทธมากกว่าบ้านเราซะอีก ประเพณีวัฒนธรรมยังคงอยู่ครบ ไม่เหมือนบ้านเราเริ่มเสื่อมลงทุกวันๆ










 ช่วงที่พ่อมาเยี่ยมเลยพาพ่อไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ หลายแห่งอย่างเช่นวัดพระแก้ว ที่เหลือแต่ฐานพระเพราะองค์พระมาอยู่ประเทศไทยแล้ว มาอย่างไรก็ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์เอาเองแล้วกัน แต่ที่น่าทึ่งก็คือวัดพระแก้วที่ประเทศลาวถึงแม้จะมีแต่เพียงฐานพระแต่ประชาชนก็ยังเข้ามากราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่นทุกวัน เห็นแล้วก็อดหดหู่ใจไม่ได้

















   ด้วยความที่คล้ายคลึงกันของสองประเทศ พ่อผมซึ่งเป็นคนร้อยเอ็ด ตอนพาพ่อเที่ยว พ่อยังแซวเลยว่า เอ๊ะนี่เราอยู่ร้อยเอ็ด หรือเวียงจันทน์กันแน่วะต้อย..



















  วัดในเวียงจันทน์ยังคงสภาพให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะในวันพระจะมีผู้คนเข้ามาทำบุญกัน ทั้งเด็กเล็กหนุ่มสาวคนเฒ่าคนแก่ เต็มวัดไปหมด ไม่เหมือนเมืองไทยจะมีแต่คนแก่เป็นส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำบุญกันในวันพระ












   ส่วนเรื่องการศึกษาเวียงจันทน์มีมหาวิทยาลัยดงโดดที่คนลาวนิยมเข้าเรียนกัน ถ้าเปรียบบ้านเราก็ประมาณจุฬาฯ นั่นแหละ การแต่งกายของนักศึกษาที่ประเทศลาว จะแต่งตัวเรียบร้อย ใส่เสื้อขาวแขนยาว นุ่งผ้าซิ่นสวมเข็มขัดเงินดูน่ารักแบบเรียบร้อยดี ไม่เหมือนนักศึกษาในประเทศไทยที่ใส่กระโปรงซะสั้นจนจะเห็น.....อยู่แล้ว ส่วนเสื้อก็ใส่รัดติ้ว จนกระดุมแทบจะขาดกระเด็นออกมาโดนตาผู้ที่จ้องมองปอดอยู่แล้ว






  จริงๆ แล้วมีเรื่องเล่าในเวียงจันทน์อีกแยะ โดยเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่องของน้อง "ด๋อง" สาวลาวแสนสวยลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน ที่มารับหน้าที่เป็นผู้พาพวกเราเที่ยวที่เวียงจันทน์ แต่เบียร์หมดขวดพอดี ต้องขอตัวไปซื้อมาเติมสักหน่อย แล้วในเรื่องต่อไปจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับน้องเค้าครับ... สบายดี
















เพลงดวงจำปา (เพลงประจำชาติลาว)
โอ้ดวงจำปา เวลา ซมน้อง* 
นึกเห็น พลันส่อง มองห็น หัวใจ
เฮา นึก ขึ้นได้ ใน กลิ่น เจ้าหอม
เห็น สวนดอกไม้ บิดา ปลูก ไว้ ตั้งแต่ นานมา*2
เวลา ง่วมเหงา** เจ้า ซ่วย บรรเทา เฮา หาย โศกา
เจ้าดวงจำปา คู่เคียง เฮามา แต่ ยามน้อย เอย

     กลิ่น เจ้า สำคัญ ติดพัน หัวใจ 
เป็น น่าฮักใคร่ แพงไว้ เชยชม 
ยาม เหงา เฮาดม โอ้จำปาหอม***
เมื่อ ดม กลิ่นเจ้า ปาน พบ เพื่อน เก่า**** ที่ พรากจากไป
เจ้า เป็น ดอกไม้ ที่งามวิไล ตั้งแต่ ใดมา
เจ้า ดวงจำปา มาลา ขวัญฮัก ของ เฮียม นี้เอย 

โอ้ ดวงจำปา บุปผา เมืองลาว 
งามดั่งดวงดาว ชาวลาว เพิงใจ***** 
เกิดอยู่ ภายใน แดนดิน ล้านช้าง
เมื่อได้ พลัดพราก หนีไป ไกลจาก บ้านเกิด เมืองนอน******
เฮียม****** จะ เอา เจ้า เป็น เพื่อน ฮ่วมเหงา******* เท่า สิ้น ชีวา 
เจ้าดวงจำปา มาลางามยิ่ง มิ่งเมืองลาวเอย.