วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จิตอาสา...ช่วงหนึ่งของประสบการณ์ที่ดี

          สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับกับบทความใหม่ของ My Ordinary Story สำหรับบทความนี้ก็มีจุดเริ่มต้น แนวคิด มาจากการอ่านหนังสือทั่วไป ดูรายการทีวีรายการต่างๆ ท่องเน็ท และก็อีกหลายโอกาสที่ผมมีโอกาสพบเจอกับคำว่า "จิตอาสา" มันทำให้ผมย้อนนึกถึงตัวเองว่า เอ๊ะ แล้วผมละเคยทำอะไรที่เป็นจิตอาสากับเขาบ้างหรือปล่าว พอนั่งนึกดูแล้ว เอ้... ก็มีอยู่บ้างกับเขาเหมือนกันนะครับ
          เริ่มจากตอนที่ผมย้ายมาทำงานอยู่ชลบุรีใหม่ๆ ก็สักสิบกว่าปีมาแล้ว ผมมีโอกาสได้อาสาทำงานร่วมกับมูลนิธิไตรคุณธรรม จังหวัดชลบุรี ทำงานกู้ภัยฯในเขตตำบลหนองไม้แดง อยู่ด้านหลังของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เป็นอาสาสมัครประจำจุดที่ 25 และจนถึงปัจจุบันนี้ผมก็ยังเป็นสมาชิกของมูลนิธิฯอยู่เลยนะครับ แต่ว่าย้ายมาอยู่ประจำจุดที่ 5 กับเพื่อนรุ่นน้องที่ชอบพอกัน ในระหว่างที่ผมทำงานกู้ภัยใหม่ๆ ผมยังไม่มีลูกที่ต้องคอยดูแล ผมเลยให้เวลากับงานอาสาสมัครได้เต็มที่ แต่ปัจจุบันก็จะอยู่เบื้องหลังและเป็นผู้แจ้งเหตุเป็นส่วนใหญ่ เพราะด้วยความที่อายุ และความรับผิดชอบมากขึ้นเลยต้องวางมือให้รุ่นน้องเขาลุยกัน
         แต่ระหว่างที่ผมทำงานอาสาสมัครร่วมกับหน่วยกู้ภัยฯ ผมก็มีประสบการณ์ดีๆ มากมายกับเพื่อนๆสมาชิกอาสาสมัครที่มีจิตอาสาที่ทำงานด้วยกัน ผมมีโอกาสได้รับรู้เรื่องราว เหตุและผลที่พวกเขาเหล่าอาสาสมัครยอมเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อออกมาคอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความทุกข์และเดือดร้อนในยามค่ำคืนดึกๆดื่นๆ แทนที่จะไปเที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา เก๊ะกะ แว้นซิ่งให้ชาวบ้านรำคาญ หรือไปทำอะไรอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่ทว่าก็มีบ้างเหมือนกันนะครับสำหรับอาสาสมัครบางพวกที่แอบแฝงเข้ามาทำงานกู้ภัยฯ เพื่อหาประโยชน์อย่างอื่นในทางที่ไม่ค่อยดี แต่ก็มีส่วนน้อยครับ ส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้ที่ตั้งใจเสียสละจริงๆ ครับ
         ทุกค่ำคืนพวกเขาเหล่าอาสาสมัคร ต้องมานั่งอดตาหลับ ขับตานอนตามจุดรับผิดชอบที่มูลนิธิฯกำหนดให้ เพื่อที่จะคอยปฏิบัติงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่ได้รับความทุกข์เดือดร้อนในทุกๆ เรื่องที่พวกเขาพอจะช่วยเหลือบรรเทาได้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย อำนวยความสะดวกด้านจราจร ผัวเมียทะเลาะกัน หรือแม้แต่งูเข้าบ้านยังต้องไปบรรเทาทุกข์เลย ค่าตอบแทนของพวกเขาก็ไม่มีให้ แถมเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ รถน้ำมัน หรือชุดยูนิฟอร์มก็ต้องจัดหาจัดซื้อกันมาเอง ผมศรัทธากับความเสียสละของพวกเขาครับ
         ตัวผมเองในช่วงแรกๆ นอกจากจะได้ทำงานกู้ภัยฯแล้ว อีกอย่างที่ผมถือว่าโชคดีก็คือ ผมได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมด้านการกู้ภัยฯ กู้ชีพ การประถมพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำคลอด ดับเพลิง แต่ที่ผมประทับใจและคิดว่ามีประโยชน์กับส่วนตัวผมมากที่สุดก็คือ หลักสูตรการกู้ชีพ EMERGENCY MEDICAL SERVICES หรือที่เรียกย่อๆ ว่าหลักสูตร EMS จากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ซึ่งในเนื้อหาของหลักสูตรเน้นการกู้ชีพ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่สัณญาณชีพกำลังจะหมดลง มีเนื้อหาของวิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยผู้บาดเจ็บในกรณีต่างๆ การประถมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนการทำคลอด ซึ่งผมถือว่านอกจากจะได้นำไปใช้กับการทำงานกู้ภัยฯแล้ว ความรู้ความสามารถมันยังติดตัวผมมาเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้องของผม เพื่อนฝูง หรือผู้ที่ผมประสบพบเจอในยามฉุกเฉินอีกด้วย
         อีกหนึ่งจิตอาสาของผมก็คือ "ตำรวจอาสา" ต่อเนื่องจากที่ผมทำงานกู้ภัยฯในเขตตำบลหนองไม้แดง ทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน รวมถึงอายุผมก็มากขึ้น ทำให้วัยวุฒิมากขึ้นด้วยทำให้มีพักพวกชวนไปร่วมอาสาเป็นตำรวจอาสาป้องกันชุมชน ผมก็เลยไปสมัครและรับการฝึกอบรมจนได้มีโอกาสไปเป็นตำรวจอาสาร่วมปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระยะหนึ่ง   แต่ปัจจุบันลาออกแล้วนะครับ โดยคำเรียกร้องของภรรยาและลูกๆของผม เพราะงานตำรวจอาสาภายในเขตจังหวัดชลบุรีค่อนข้างเสียงเหมือนกันครับ  เพราะจำนวนประชากรแฝงที่มาทำงานที่จังหวัดชลบุรีมีมาก ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับอาญชญากรรมเลยมีมากตามไปด้วย
         แต่ถึงแม้งานตำรวจอาสาจะมีความเสี่ยงกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ผมก็ทำงานอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกันครับ แบบว่าใจมันรักอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และดูแลเป็นหูเป็นตาเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม แบบว่าตอนนั้นไฟมันแรง กำลังวังชาก็ยังเหลือเฝือ เลยอยากจะปลดปล่อยบ้างในทางที่ดีๆ
          เหตุผลในการเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยการสมัครเป็นตำรวจอาสา ก็เพราะว่า ก่อนหน้านั้นผมมีความแครงใจหลายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงอยากจะทดลองและเป็นประจักพยานในฐานะชาวบ้านชาวช่อง ว่าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่กับสิ่งที่ผมแครงใจ
         ระหว่างที่ผมทำงานเป็นตำรวจอาสา ผมก็มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวยุทธวิธีการทำงานรวมถึง ความทุกข์ยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวน ที่ต้องประสบพบเจอกับความเสี่ยงอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากในการปฏิบัติงาน ความเสี่ยงภัยต่างๆจากโจรผู้ร้าย เวลาที่มีน้อยมากสำหรับให้กับครอบครัว โดยเฉพาะรายได้หลักจากเงินเดือนข้าราชการที่น้อยนิดเสียนี่กระไร ซึ่งทำให้ผมเข้าใจชีวิตตำรวจที่ดีมากขึ้น ก็จะมีเหมือนกันครับสำหรับตำรวจที่ไม่ค่อยจะดี แต่ผมว่าถ้าเทียบสัดส่วนกันแล้วมีน้อยครับ อย่าว่าแต่วงการตำรวจเลยครับเรื่องคนไม่ดี มันมีอยู่ทุกวงการแหละครับ
         อีกหนึ่งจิตอาสาที่ผมภูมิใจครับกับ "ตำรวจโรงงาน" ในช่วงปี 2548 ในช่วงนั้นการระบาดของยาเสพติดค่อนข้างรุนแรงมาก และในจำนวนของผู้ที่เสพ ผู้ค้าส่วนหนึ่งก็จะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพนักงานของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ ดังนั้นจึงมีโครงการของท่านพล.ต.ต.ดร. สุวิระ ทรงเมตตา ตำแหน่งในขณะนั้นนะครับปัจจุบันยศท่านเป็นพล.ต.ท.ดร.สุวิระ  ทรงเมตตาแล้ว ท่านได้ริเริ่มโครงการแนวคิดให้มีตำรวจโรงงานขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับตำรวจท้องที่เพื่อป้องปราม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด รวมถึงอาชญากรรมอื่นๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และบริเวณโดยรอบโรงงาน ตลอดจนชุมชนใกล้เคียง
         โดยผมได้เข้าร่วมฝึกอบรมหลักสูตรตำรวจโรงงานในรุ่นที่ 9 ฝึกกันแบบจริงๆจังๆ เลยนะครับไม่ใช่ฝึกกันเล่นๆ ประเภทสามารถออกปฏิบัติงานเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจในภาคสนามได้เลย
         เนื้อหาของหลักสูตรก็จะมีตั้งแต่ภาคทฤษฎี ซึ่งต้องเรียนรู้เรื่องอำนาจหน้าที่และกฏหมายต่างๆ ที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และครูฝึกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ





         การฝึกภาคสนามก็ฝึกหนักเพื่อให้ได้รับรู้ถึงยุทธวิธีต่างๆ ของตำรวจกันเลย อำนวยการฝึกโดยท่านพล.ต.ต.ดร.สุวิระ  ทรงเมตตา ตำแหน่งท่านในขณะนั้น ซึ่งท่านเน้นมากในการฝึกอบรม เพื่อให้ได้บุคลากรที่ดีในการที่จะไปปฏิบัติหน้าที่








         สำหรับตำรวจโรงงานรุ่นที่ 9 ก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกันนะครับ น่าจะสัก ร้อยกว่านาย ผู้ที่ได้รับการฝึกก็มากันทั่วประเทศครับ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากภาคกลางและภาคตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ เพราะพื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมีจำนวนมาก








         ระหว่างการฝึกก็ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกแต่ก็ภาคภูมิใจเล็กๆ ครับที่ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของโรงงาน เป็นตัวแทนของจังหวัดในรับการฝึกอบรมในครั้งนี้










          จบหลักสูตรการฝึกก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ แก้เหนื่อยแก้เมื่อยกันหน่อยครับ ตามธรรมเนียม ก็สนุกสนานกันเต็มที่ตามประสาหนุ่มๆ ที่ร่างกายแข็งแรงกำยำ










         งานเลี้ยงฝึกอบรมจบหลักสูตรตำรวจโรงงานรุ่นที่ 9 นอกจากจะสนุกสนานกับการแสดงของเหล่าตำรวจครูฝึก น้องๆแด๊นเซอร์ที่แต่งตัวน่าหวาดเสียวแล้ว ผมและเพื่อนตำรวจโรงงานก็มีโอกาสได้พูดคุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่ ซึ่งท่านทั้งหลายก็ให้ความเป็นกันเองมากครับ







         นอกจากฝึกอบรมตามหลักสูตรการอบรมตำรวจโรงงานแล้ว ทางชมรมตำรวจโรงงานแห่งชาติก็ยังมาอบรมหลักสูตรเพิ่มเติมให้อีกหลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรการใช้อาวุธปืนชนิดต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ ฝึกโดดร่มที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เป็นต้น







         ในวันรับใบประกาศณียบัตรตำรวจโรงงานรุ่นที่ 9 ผมก็ภูมิใจมากยิ่งขึ้นครับเพราะได้รับเกียรติจากทูลกระม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเสด็จมาเป็นประธานในงานด้วย









         และในวันงานรับวุฒิบัตรยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเป็นเกียรติในงานหลายท่าน อุเหม่....เป็นปลื้มจริงๆ











         นอกจากชมรมตำรวจโรงงานแห่งชาติแล้ว พวกเราเหล่าตำรวจโรงงานยังเป็นศูนย์ประสานงานมูลนิธิคุณพุ่มด้วย











         ทั้งหมดทั้งปวงที่เล่าให้ฟัง ก็เป็นแง่มุมเล็กๆของประสบการณ์ของผมเกี่ยวกับ "จิตอาสา" ที่อยากจะแบ่งปันให้ผู้ที่เข้ามาชม Blog Story Plain For Me รับชม
          ผมไม่หวังให้คนไทยทุกคนต้องมีจิตอาสาหรอกครับ ขอเพียงให้ทุกคนอย่าไประเมิดสิทธิของคนอื่นเขา เอาเปรียบ ข่มเหงรังแก รวมถึงใช้อภิสิทธิ์ต่างๆที่ตัวเองมีโอกาสไประเมิดสิทธิ์คนอื่นเขาก็พอแล้วครับ
          สำหรับบทความนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม Blog My Ordinary Story  มีความเห็นอย่างไรก็แสดงได้นะครับน้อมรับทุกความเห็น

ขอให้ประเทศไทยจงเจริญ            สวัสดีครับ......

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันแม่ ของผม

   สวัสดีครับ ทุกๆท่านที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม Blog My Ordinary Story ของผม สำหรับบทความนี้ ที่ผมตั้งชื่อเรื่องว่า "วันแม่ ของผม" ทั้งๆที่เดือนนี้เป็นเดือนเมษายน ไม่ไช่เดือนสิงหาคมสักกะหน่อย ที่เป็นอย่างนี้ก็ เพราะว่าจริงๆ แล้ววันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมานี้ เป็นวันครบวันเกิดของผมเอง และที่ต้องทำอย่างนี้ก็เป็นเพราะ สองเหตุผลครับ เหตุผลแรกก็คือ แม่ของผมท่านไม่ทราบวันที่ และเดือนเกิดของตัวเองครับ เพราะช่วงที่ท่านเกิด ตากับยายของผมท่านจำวันที่และเดือนเกิดของแม่ผมไม่ได้ ท่านบอกว่าตากับยายของผมท่านมีลูกหลายคน และสมัยนั้นความรู้การศึกษาของผู้คนยังไม่สูงนัก และในจำนวนนั้นก็รวมทั้งตากับยายของผมด้วย ท่านเลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลสักเท่าไรนัก ดังนั้นแม่ของผมท่านเลยไม่มีบันทึกข้อมูลวันที่และเดือนเกิดของท่านในบัตรประชาชน ในบัตรประชาชนของท่านบันทึกเพียง พ.ศ. เิกิดเท่านั้น ดังนั้นผมจึงเอาวันครบวันเกิดของผมเป็นวันแม่ของผมด้วย
   เหตุผลที่สองคือ  ผมเห็นว่าในวันครบวันเกิดของเราทุกคนควรจะทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อทดแทนพระคุณของคุณแม่เราดีกว่า เพราะท่านต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จวนเจียนเสียชีวิตในวันที่ท่านคลอดเราออกมาเป็นคนและใช้ชีวิตเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ดีกว่าจะไปฉลองครื้นเคร่งให้หมดเงินหมดทอง ไร้สาระไปวันๆ







   ตั้งแต่ผมเกิดมา ตัวเล็กๆตีนเท่าฝาหอยจนเติบใหญ่มาเป็นมนุษย์อยู่ทุกวันนี้ ผมยังจดยังจำการแสดงความรัก ความห่วงใยจากแม่ของผมต่อลูกทุกๆคนได้ ทุกๆเหตุการณ์
   ผมยังจดจำความทุกข์ยากลำบากในการที่แม่ของผมต้องเลี้ยงดู ส่งเสียลูกๆให้ได้เรียนสูงๆ ดูดีทัดเทียมคนอื่นๆเขา ตามความสามารถที่แม่ผมจะพยายามทำให้ลูกๆได้ดีที่สุด
   ผมยังจำหยาดเหงื่อแรงงานของแม่ผมที่ท่านทำงานเพื่อแรกกับรายได้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู ส่งเสียลูกเรียนได้ทุกๆหยด










   ผมยังจำเหตุการณ์ต่างๆที่แม่ผมพาเราบรรดาลูกๆไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผมและน้องได้ศึกษาหาประสบการณ์ชีวิต เพื่อที่จะทำให้ผมแข็งแกร่งเข็มแข็ง เพื่อที่ชีวิตในอนาคตจะได้จดจำไว้เป็นประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
















   และท่านก็ยังเฝ้าเพียรสอนให้ตัวผมรู้จักความเข้มแข็ง อดทน ตั้งแต่เล็กจนโต













   ตลอดเวลาที่ผมเริ่มเติบโต ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมก็เห็นแม่ผมเฝ้าสั่งสอนในทุกๆเรื่อง ให้ผมได้รับรู้ ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ควรประพฤติปฏิบัติ











   ส่วนลูกชายอย่างผมก็ปฏิบัติบ้าง ละเลยบ้างตามประสาลูกชายคนเดียว ที่ดื้อรัน และก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง


















   แต่เรื่องการเรียนการศึกษาของผม ในช่วงที่อยู่ในวัยเรียน ผมคิดว่าผมก็เป็นคนรักด้านการเรียนการศึกษาคนหนึ่งเหมือนกันนะครับ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะแม่ของผมเฝ้าสั่งสอนและกระตุ้นให้ผมได้จดจำอยู่เสมอว่า "พ่อกับแม่ไม่มีสมบัติพัสฐานมากมายเหมือนคนอื่นจะให้ลูกนะ จะมีก็แต่ความพยายามที่จะส่งเสียให้ผมได้เรียนสูงๆ เพื่อที่จะได้นำเอาความรู้ความสามารถไปใช้ในการประกอบอาชีพ หาเลี้ยงตัวเองต่อไป"












   ถึงแม้ในช่วงการเรียน ผมจะไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งกาจมากมาย อยู่ในระดับต้นๆ ของกลุ่มเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน แต่ในทีี่สุดผมก็เรียนจบพอที่จะเอาความรู้ ความสามารถ ไปแรกกับรายได้เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงครอบครัว จนถึงทุกวันนี้
















   นอกจากผมจะพยายามทำเพื่อตัวเองให้สำเร็จตามคำสั่งสอนแล้ว อีกหนึ่งคำสั่งสอนของแม่ผม ก็คือการทำตัวให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวม และประเทศชาติ ซึ่งผมคงจะฝังลึกเรื่องคำสอนเหล่านี้ของแม่ผม จนหลายครั้งในช่วงชีวิต ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับ หน่วยงานช่วยเหลือสังคมหลายหน่วยงาน อย่างเช่น มูลนิธิกู้ภัย ตำรวจอาสา ตำรวจโรงงาน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถ้าหากผมมีโอกาสจะนำมาเขียนเป็นบทความให้ท่านทั้งหลายชมต่อไป
   (ภาพถ่ายที่กองร้อยอาวุธเบา ที่ 3 ทหารเสือพระเจ้าตาก ค่ายวชิรปราการ จังหวัดตาก)










   ช่วงที่ผมยังหนุ่มแน่น ก็สร้างความปวดหัวทุกข์ร้อนใจ และห่วงกังวลให้กับแม่ผมหลายครั้งเหมือนกัน เพราะช่วงที่ผมยังอายุอยู่ในวัยหนุ่ม ก็คบเพื่อนมากมายมีทั้งดี ทั้งร้าย ประกอบกับผมเป็นคนใจร้อน ดังนั้นหลายครั้งก็ก่อวีรกรรมต่างๆ ทำให้แม่ต้องห่วงกังวล ทุกข์ใจหลายครั้ง















   จนช่วงที่ผมครบวัยบวชเรียน ผมรู้ว่าพ่อแม่ทุกคน รวมถึงแม่ผมด้วยเหมือนกัน ที่หวังจะเห็นลูกชายได้บวชเรียนทดแทนพระคุณ ตามความเชื่อของคนโบร่ำโบราณที่บอกกันมาว่า ถ้าใครมีลูกชายแล้วได้บวช พ่อแม่ญาติพี่น้องทั้งหลายที่มาร่วมงานบวช เวลาเสียชีวิตจะได้จับชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์








   ซึ่งลูกชายอย่างผมก็มีโอกาสได้บวชกับเขาเหมือนกัน และบุญกุศลถ้ามีจริงอย่างที่โบราณบอก ในช่วงที่ผมบวชขอให้บุญกุศลทั้งหมดจงโน้มนำไปให้แม่ของผม จงมีแต่ความสุข ความสำราญ อายุมั่นขวัญยืน อยู่เป็นร่มโพร่มไทร กับลูกๆ หลานๆ นานๆ ด้วยเทิด เจ้าพ่อคูณณณ...








   ช่วงตอนงานบวช ผมเห็นแม่ของผมเหนื่อย เหงื่อไคลไหลท่วมตัวเลย แต่ผมก็รู้ว่าลึกๆ แล้วแม่ของผมมีความสุขที่เห็นลูกชายบวชให้












   ภาพตอนที่พ่อกับแม่ตักบาตรในงานฉลองพระใหม่














   ภาพตอนที่ผมบวช ได้ฉายา "ถาวระคุโณ นามะ"




















   แม้แต่ตอนผมแต่งงาน แม่ผมก็ยังแนะนำสั่งสอนผม ในการใช้ชีวิตครอบครัวให้มีความสุข













   ภาพแม่ผม ในวันแต่งงานของผม















   แม่กับนก น้องสาวคนเดียวของผม ภาพถ่ายไว้เมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้ว



















   แม่ผมกับน้าเพี้ยน น้องสาวคนเล็กของท่าน ภาพถ่ายไว้หลายปีแล้ว



















   นอกจากเลี้ยงลูกๆ คือผมกับน้องสาวแล้ว หลานทุกคนที่เป็นลูกของผมกับน้องสาว ท่านก็ยังต้องเลี้ยงดูให้ ด้วยความรักและเอ็นดู
   โอปอกับหมิว ยังตัวเล็กๆอยู่เลย











   แม่กับพ่อ และญาติๆ ตอนที่มาเยี่ยมผมที่กรุงเทพฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว ตอนที่ผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ












   แม่ และญาติของท่าน ถ่ายไว้หลายปีแล้ว ตอนนั้นหมิวกับโอปอ ลูกและหลานของผมยังตัวเล็กๆ อยู่เลย













   แม่ของผมกับป้าหนู พี่สาวคนโตของแม่ผม ตอนนี้ป้าหนูเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว














   ภาพเลี้ยงหลานๆ ที่กำแพงเพชร ถ่ายไว้หลายปีแล้ว โอปอยังตัวเล็กๆ อยู่เลย




















   แม่กับป้าหนู ในช่วงสงกรานต์หลายปีแล้วครับ














   แม่กับพ่อผม ถ่ายไว้ในตอนที่พ่อผมยังไม่เสียชีวิต














   แม่กับพ่อผม ตอนที่พ่อผมเริ่มป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งตอนนั้นแม่ผมดูเครียดมากเลย














   แม่ผมตอนมาเยี่ยมผมกับครอบครัวที่ชลบุรี















   แม่กับพ่อผม ถ่ายตอนที่ไปเที่ยวเมืองจำลองพัทยา














   แม่ผมถ่ายที่บางแสน ตอนที่พาหลานๆ มาเยี่ยมผมและครอบครัว















   แม่ผม ถ่ายไว้ตอนที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้านที่กำแพงเพชร หลายปีแล้วครับ














   แม่ผมกับลูกและหลานๆ















   ช่วงที่พ่อผมเสียชีวิต ผมเห็นแม่ผมซึมเศร้า เหงาหงอยมาก แต่ท่านก็พยามยามบอกกับลูกว่าไม่เป็นอะไร













   แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าท่านเสียใจ กังวล และต้องการให้ลูกอยู่ใกล้ๆ














   แต่ด้วยถาระหน้าที่ และต้องกลับไปทำงานที่ชลบุรี ในตอนที่เสร็จงานศพพ่อ ผมเห็นแม่ร้องให้ตอนมาส่งผม ผมรู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ ที่ไม่สามารถอยู่ดูแลแม่อย่างใกล้ชิดได้











   ตั้งแต่พ่อผมเสียชีวิตแม่ผมต้องอยู่กับน้องสาวผมที่กำแพงเพชร ในขณะที่ผมต้องอยู่ชลบุรี













   หลายปีมาแล้วผมมีโอกาสกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมแม่ของผม ปีละสองครั้ง คือปีใหม่ และสงกรานต์ ซึ่งในความรู้สึกผมมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน












   ช่วงปีใหม่ ตอนที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้านที่กำแพงเพชร














   ไม่บ่อยครั้งที่เห็นรอยยิ้มของแม่ผม ส่วนใหญ่ที่ยิ้มได้ ก็เพราะหลานๆ จอมดื้อทั้งหลาย













   พาแม่ไปเที่้ยวน้ำตกกับหลานๆ ตอนปีใหม่ 2554 จำได้ว่าในวันนั้นแม่เป็นลมแต่ไม่ยอมบอกใคร กลัวหลานๆ จะหมดสนุก













   แม่ผมกับลูกสาวสองคนของผม















   สงกรานต์ปี 2554 ที่บ้านโคน กำแพงเพชร














   ที่เขียนมาทั้งหมดผมพยายามจะเล่าเรื่องราวของพระคุณของแม่ผม แต่ผมคิดว่าก็คงจะเหมือนบทกลอนทั้งหลายที่บรรยายพระคุณแม่เอาไว้ ก็คือไม่สามารถจะหาอะไรมาเปรียบได้กับบุญคุณของแม่ สุดท้ายในวันแม่ของผมวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งลูกอย่างผมก็คงจะทำได้เพียงกราบเท้าขอบพระคุณแม่ที่ท่านเฝ้าอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูผมมาอย่างดี ผมขอให้วันนี้ และทุกๆวัน แม่ของผมจงมีแต่ความสุข ทั้งทางใจทางกาย โรคภัยอย่าเบียดเบียน อยู่เป็นร่มโพธ์ร่มไทรให้ลูกๆหลานๆ นานแสนนานด้วยเทิด

สวัสดีครับ..

ขอกราบไหว้บูชาพระคุณแม่ 
คุณเลิศแท้หาสิ่งใดไหนจักเหมือน 
ยามลูกผิดคุณแม่นั้นคอยเฝ้าเตือน 
ยามแชเชือนคุณแม่เราเฝ้าปลอบใจ 
ยามลูกทุกข์แม่พลอยทุกข์เหมือนกับลูก 
จิตแม่ผูกอยู่กับลูกไม่เหือดหาย 
แม้นชีวิตของลูกนั้นพลันมลาย 
จนวันตายจะไม่ขอลืมพระคุณ 
บุญอันใดลูกสร้างมาแต่ปางก่อน 
จงสะท้อนถึงพ่อแม่ผู้เกื้อหนุน 
เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาด้วยการุณย์ 
โอ้พระคุณแสนล้ำเลิศประเสริฐเอย