วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

เพื่อนแท้ของผม


           ที่ผ่านมาการเขียนบทความของผมได้แต่นำประสบการณ์ตัวเองและเล่าเรื่องราวต่างๆ ของผมให้ผู้ที่เข้าชม Blog ได้รับรู้มาหลายบทความแล้ว ในบทความนี้ผมจะขอนำเรื่องราวในการคบเพื่อนมานำเสนอเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่แวะเวียนผ่านเข้ามาชม Blog ได้รับรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันครับ อีกทั้งยังเป็นการเปิดใจให้เพื่อนของผมที่จะเป็นตัวละครต่อไปนี้รู้ว่า ผมคิดอย่างไรกับเขา จริงๆแล้วผมมีเพื่อนตั้งแต่เด็กๆ จนเรียนหนังสือจบออกมาทำงานอยู่มากมายหลายคน แต่ในหมู่เพื่อนผม มีอยู่ 2 คนที่ผมอยากจะบอกกล่าวเล่าความให้ผู้คนทั้งโลกฟัง ว่าเพื่อนแท้ต้องเป็นเช่นไร ให้ผู้คนทั่วไปได้ฟังกัน
           ขอเริ่มจากคนแรกเลยนะครับ เพื่อนผมคนนี้ มันมีชื่อที่ในหมู่เพื่อนๆของผมเรียกกันว่า "ไอ้กิจ" หรือชื่อตามบัตรประชาชนว่า นายประกิจ   นิลเพชร ผมกับเจ้ากิจนี่น่าจะเป็นเพื่อนกันมาแต่ปางก่อนรึ       ปล่าวไม่รู้ เพราะสวรรค์กำหนดให้มาเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เกิด พ่อผมกับพ่อเจ้ากิจรู้จักมักคุ้นกันก่อนที่ผมกับเจ้ากิจจะรู้จักกันเสียอีก พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนผมเป็นเด็กอายุประมาณ สามสี่ขวบ ผมกับเจ้ากิจเคยเรียนอนุบาลหรือเรียกว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสมัยนั้นมาด้วยกัน เพราะว่าผมก็ตามพ่อมาโรงเรียน เจ้ากิจก็ตามพ่อมันมาโรงเรียนเหมือนกัน คือพ่อผมเป็นครู ส่วนพ่อเจ้ากิจเป็นภารโรง ช่วงนี้ผมจำอะไรไม่ได้หรอกครับมารู้ตอนหลังที่โตแล้วพอได้ไปคุยกับผู้ใหญ่เขาเลยเล่าให้ฟัง
         ตอนเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไม่แน่ใจว่าเรียนอยู่ด้วยกันนานแค่ใหน รู้แต่ว่ามาเจอกันอีกทีตอนที่เรียน ปวช.ปี 1 ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรในขณะนั้น ช่วงแรกๆก็คบกันธรรมดาๆ เพราะเรียนด้วยกันที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร ยังไม่สนิทลึกซึ้งกันเท่าไรเพราะเจ้ากิจอยู่หอของญาติมัน ส่วนผมต้องอาศัยวัดอยู่ (วัดคูยาง) ตรงนอกรั้วข้างเมรุเผาศพ ตอนนั้นอยู่กับพระหลวงพ่อของอาจารย์ที่สอนอยู่ ขออนุญาติไม่เอ่ยนามท่าน เอาเป็นว่าปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้าคณะวิชาช่างยนต์อยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันท่านอาจเลื่อนตำแหน่งมากกว่านี้แล้วก็ได้ เพราะท่านเป็นคนเก่งและเป็นคนดีมาก ในครั้งหนึ่งของช่วงชีวิตที่ผมตกอับท่านยังเคยเรียกผมกับไปทำงานด้วยที่วิทยาลัยเลย

     เอาละครับกลับมาเรื่องผมกับเจ้ากิจต่อดีกว่า พอจบ ปวช.3 จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรแล้ว ผมกับเจ้ากิจได้โควต้าไปเรียนต่อ ปวส. ที่วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยด้วยกัน เพราะว่าที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรในสมัยนั้นยังไม่เปิดสอนระดับ ปวส. และที่สุโขทัยนี่แหละที่ผมกับเจ้ากิจสนิทกันมากขึ้น เพราะต้องอยู่หอพักด้วยกัน รวมถึงต้องใช้ชีวิตร่วมกันกันตลอดสองปีที่จังหวัดสุโขทัยผ่านเรื่องตื่นเต้นท้าทายมาด้วยกันหลายครั้งหลายหน












    เริ่มต้นจากก้าวแรกที่ผมกับเจ้ากิจก้าวเข้ามาในรั้วของวิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย ผมกับเจ้ากิจก็ต้องเจอขาใหญ่เจ้าของพื้นที่ข่มจากการเรียงลำดับการยื่นเอกสารต่างๆ เพื่อรายงานตัวเพื่อเข้าศึกษา เป็นธรรมดาครับผมกับเจ้ากิจมาจากต่างถิ่น เจ้าถิ่นขาโจ๋ก็ต้องวางกล้ามโชว์ ฟราวหน่อย แต่ว่าต่อมาขาใหญ่ทั้งหลายก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันกับผม และสนิทกันอย่างสุดซึ้งในภายหลัง โดยผมกลายเป็นหัวโจกประจำรุ่นไปเสียเอง



    ตลอด 2 ปีในการเรียนระดับ ปวส. ผมกับเจ้ากิจใช้ชีวิตอยู่หอพักร่วมกัน โดยเราไปแบ่งเช่าห้องจากชาวบ้านแถววิทยาลัยฯ หรือคนแถวนั้นเรียกว่าบ้านกล้วย โดยเจ้าของบ้านเป็นหญิงสูงอายุอยู่คนเดียว เพราะลูกหลานของแกแยกย้ายไปมีครอบครัวที่อื่นกันหมด ในการเช่าห้องพักกับแกนั้นแกก็เป็นกันเองกับเรา ดูเผิ่นๆแล้วเราเหมือนกับลูกหลานมาอาศัยอยู่เลย ถึงแกจะขี้บ่นจู้จี่จุกจิกหน่อย แต่ก็ดูแกรักเราเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งเหมือนกัน อ้อลืมบอก แกชื่อป้าทุมครับ ได้ข่าวว่าแกเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ยังไงก็อโหสิให้พวกเราด้วยนะครับที่อาจจะล่วงเกินประพฤติตัวให้แกรำคาญใจในสมัยที่พักอยู่ที่บ้านแก
     ช่วงที่อาศัยอยู่กับแกพวกเราก็เอะอะมะเทิ่ง กินเหล้าเมายา ร้องรำทำเพลง ตามประสาเด็กหนุ่มอาชีวะทั่วๆไป ซึ่งก็คงทำความรำคาญให้แกไม่น้อย เพราะรุ่นผมเอาบ้านแกเป็นศูนย์กลางในการสังสรรค์เฮฮาเลยครับ











    ในการศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยผมกับเจ้ากิจก็ฝากฝีไม้ลายมือทิ้งไว้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเจ้ากิจ ในการทดสอบฝีมือทางด้านเครื่องยนต์ของเครือโตโยต้ามันทำคะแนนได้ระดับต้นๆเลยทีเดียว และตอนจบออกมาครั้งแรกเจ้ากิจก็มาทำงานที่โตโยต้านี่แหละเป็นที่แรก









    บ้านพักที่เราพักกัน อยู่ไม่ไกลจากเมืองเก่าสุโขทัยมากนัก ในวันหยุดหรือยามว่างก็คงมีที่นี่แหละครับที่เราจะพากันมาหลบร้อนเที่ยวเล่นหาจีบสาวกัน ตามประสาเด็กหนุ่มทั่วไป ซึ่งบางครั้งไปเผอจีบแฟนชาวบ้านถูกไล่ตีไล่ต่อยก็หลายครั้งหลายหน นึกแล้วก็อดที่จะตื่นเต้น ไม่ได้








    ผมกับเจ้ากิจเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ใช้ชีวิตร่วมกัน ใช้ตังค์แทบจะกระเป๋าเดียวกันเลย แต่ส่วนมากผมจะใช้มากกว่า เพราะผมตอนนั้น ทั้งเหล้าบุหรี่เต็มอัตราศึก ส่วนเจ้ากิจเหล้าไม่กินบุหรี่ไม่สูบ แถมเป็นคนเรียบร้อยทำกับข้าวกับปลาให้พวกเรากินอีก จนเพื่อนๆ ในกลุ่มล้อว่าผมเป็นผัวเจ้ากิจเป็นเมีย น่าจะเหมือนคู่เกย์ในสมัยนี้เลย แต่บอกเลยนะครับผมกับเจ้ากิจผู้ชายทั้งแท่ง





    ตอนอยู่สุโขทัยมีหลายครั้งที่มีเรื่องตื่นเต้นผมกับเจ้ากิจก็ผ่านมันมาได้ด้วยกัน ในสมัยที่ผมอยู่สุโขทัย คนสุโขทัยมีชื่อเสียงเรื่องนักเลงมาก ขนาดมีคนนำมาพูดเป็นคำคล้องจองเลยครับ เอ้ เขาพูดว่ายังไงนะ เอ่อ อยากมั่งมีศรีสุขไปอยู่ศรีสำโรง อยากฉิบหายตายโหงไปกงไกรลาศ อะไรประมาณนี้แหละครับ






    หลังจากจบ ปวส. พวกเราต่างแยกย้ายกันไปหางานทำ เพราะในสมัยนั้นครอบครัวของเราทั้งสองคน ขาดทุนทรัพย์ในการที่จะส่งพวกเราเรียนต่อให้สูงกว่านี้ได้ เงินกู้ กยส. เหมือนสมัยนี้ก็ยังไม่มี เลยต้องแยกย้ายกันไปหางานทำก่อน ค่อยหาโอกาสเรียนเพิ่มเติมภายหลัง








    ผมได้ทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ส่วนเจ้ากิจได้งานที่ศูนย์โตโยต้าจังหวัดนครสวรรค์








     ผมทำงานที่นวนครสักพักเห็นว่ารายได้ดี ผมเลยไปรับเจ้ากิจมาทำงานด้วยที่นวนคร มันทำตั้งแต่ปี 1990 จนถึงเดียวนี้เลย ส่วนผมเปลี่ยนงานจากที่นวนครจนถึงปัจจุบันมากมายหลายอาชีพ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นผมตกอับมากขนาดขั้นมีคดีต้องหนีหลบซ่อนตัว ผมก็ยังมาอาศัยเพื่อนคนนี้อยู่เลยครับ ล่าสุดตอนเคลียตัวเองเรียบร้อยแล้ว ต้องมาเริ่มต้นหางานทำใหม่ก็ยังต้องมาอาศัยเจ้ากิจอีก ทั้งที่พัก รถ เงิน หยิบยืมเพื่อนคนนี้มาตลอด ทำให้ผมย้อนคิดกลับไปตอนที่ทำงานอยู่ที่นวนครด้วยกัน ผมกลับไปคบเพื่อนอีกกลุ่ม ให้ความสำคัญเพื่อนกลุ่มใหม่จนหลงลืมเพื่อนแท้ที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงนั้นหากต้องเที่ยวสังสรรค์เฮฮา จะไปกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แต่หากมีเรื่องทุกข์ร้อนกับต้องกลับไปพึ่งพาอาศัยเพื่อนกลุ่มเก่า เดี๋ยวนี้ผมรู้ซึ้งแล้วครับว่าเพื่อนแท้เพื่อนตายมันเป็นอย่างไร
      สุดท้ายผมอยากจะบอกเพื่อนแท้ผมว่า "กูรู้แล้วใครที่เป็นเพื่อนแท้ของกู แล้วกูก็จะเป็นเพื่อนตายของมึงตลอดไป"

      จริงๆ แล้วเรื่องราวของผมกับเจ้ากิจมีอีกมากมายกลัวผู้ชม Blog จะเซ็งเสียก่อน ไว้โอกาสหน้าจะเล่าเพิ่มเติมให้ฟังใหม่นะครับ ส่วนเพื่อนอีกคนที่พูดถึงข้างต้นก็ขอยกยอดไว้บทความหน้านะครับ
           สุดท้ายขอให้ทุกคนที่มีเพื่อนลองหันกลับไปมองเพื่อนที่มีอยู่ให้ดีๆนะครับ เราอาจมีเพื่อนแท้อยู่ข้างกายแต่อาจละเลยหลงลืมเพื่อนแท้ที่อยู่ใกล้ได้นะครับ