วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

สงกรานต์ ที่บ้านเกิด

    สวัสดีครับก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราววันสงกรานต์ที่บ้านเกิดของผมให้ผู้เข้าชม Blog My Ordinary Story ฟังและชมภาพประกอบ ผมขออนุญาติเล่าประวัติที่ไปที่มาของประเพณีวันสงกรานต์ให้ได้รับทราบ พอเป็นสังเขปกันก่อนนะครับ โดยข้อมูลที่ผมจะเล่าให้ฟังผมขออนุญาตินำมาจาก WWW.Zabzaa.com หน่อยนะครับเพราะผมเห็นว่าข้อมูลครบถ้วนดี
    สำหรับประวัติ และตำนานของประเพณีวันสงกรานต์ก็มีอยู่ดังนี้ครับ
    มีท่านเศรษฐีผู้หนึ่งไม่มีบุตรแต่ต้องการบุตรมาก ด้วยถูกนักเลงสุราที่บ้านใกล้กันนั้นกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี ท่านเศรษฐีจึงกล่าวถามว่า "เหตุใดท่านจึง กล่าวดูถูกเราผู้มีสมบัติมาก" นักเลงสุราตอบกลับว่า "ถึงแม้ท่านเป็นผู้มีสมบัติมาก แต่ท่านก็ไม่มีบุตร เมื่อเสียชีวิตแล้ว สมบัติเหล่านี้ก็สูญเปล่า เรานั้นมีบุตร ย่อมประเสริฐกว่า" ท่านเศรษฐีจึงได้จัดพิธีบวงสรวงขอบุตรจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ รอนานสามปีก็มิได้เกิดบุตร เมื่ออาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ท่านเศรษฐีจึงพาบริวารไปบวงสรวงขอบุตรจากพระไทร พระไทรมีความเมตตาสงสารเศรษฐีผู้นี้ จึงได้ขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐี ผู้นั้น พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลกุมารเทวบุตรลงมาเกิดเป็นบุตรของท่านเศรษฐี
          เมื่อภรรยาของท่านเศรษฐีคลอดบุตร ท่านเศรษฐีได้ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ และตั้งชื่อให้ว่าธรรมบาลกุมารธรรมบาลกุมารนี้เป็น เด็กที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างมาก เรียนรู้ไตรเทพจบเมื่ออายุ ๗ ขวบอีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ภาษานกได้อีก ความดังกล่าวได้ล่วงรู้ถึงท้าวกบิลพรหม ท่านจึงต้องการที่จะทดสอบปัญญาของธรรมบาลกุมาร ท้าวกบิลพรหมจึงได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ถามปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อคือ
          ข้อที่ ๑ เช้าราศีสถิตอยู่แห่งใด
          ข้อที่ ๒ เที่ยงราศีสถิตอยู่แห่งใด
          ข้อที่ ๓ ค่ำราศีสถิตอยู่แห่งใด
          และตกลงกันว่า ถ้าธรรมกุมารสามารถตอบปัญหา ๓ ข้อนี้ได้ ภายใน ๗ วัน จะตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบปัญหาได้ ธรรมบาลกุมารต้องตัดศีรษะของตนบูชาท้าวกบิลพรหมเช่นกัน
          เวลาล่วงเลยไปถึง ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ด้วยความกลัวอาญาท้าวกบิลพรหม ธรรมบาลกุมาร จึงได้หนีไปแอบซ่อนอยู่ใต้ต้นตาลและบนต้นตาลนั้นมีนกอินทรี ๒ ตัว ผัวเมียทำรังอยู่นกอินทรีทั้งสองได้สนทนากันอยู่ในเรื่องการออกไปหากินในวันพรุ่งนี้ นางนกอินทรี : "พรุ่งนี้เราจะไปหากินที่ไหนกันดี "นกอินทรีตัวผู้ : "พรุ่งนี้เราไม่ต้องออกไปหากินไกลหรอก ด้วยพรุ่งนี้ธรรมบาลกุมารจะต้องตัดศีรษะบูชาท้าวกบิลพรหม เนื่องจากตอบปัญหาไม่ได้" นางนกอินทรี : "น่าสงสารกุมารน้อยยิ่งนัก ท้าวกบิลพรหมก็ช่างถามปัญหาที่มนุษย์เกินจะตอบได้"
นกอินทรีรู้สึกหมั่นไส้นางนกอินทรีจึงได้บอกถึงคำตอบที่ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารให้นางนกอินทรีได้รู้
นกอินทรีตัวผู้ : "ราศีแห่งมนุษย์นั้นจะสถิตอยู่ที่ร่างกายต่างวาระกัน คือ เวลาเช้าจะสถิตอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงต้องล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีสถิตอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องปะพรมน้ำที่หน้าอก และเวลาค่ำสถิตอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้า จึงจะพ้นอัปรีย์จัญไรทั้งปวง"
          ธรรมบาลกุมารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ได้จดจำคำตอบและนำไปบอกแก่ท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงจำต้องตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมมีพิษมาก คือ ถ้าตัดแล้วตั้งไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นสู่ท้องฟ้าฝนก็จะตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้ง ท้าวกบิลพรหมจึงรับสั่งเรียกธิดาทั้ง ๗ เพื่อให้นำเศียรของท้าวกบิลพรหมไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วจึงนำไปเก็บไว้ในมณฑปถ้ำธุลีเขาไกรลาศ ครั้นครบกำหนด ๓๖๕ วัน (โลกสมมุติว่าเป็น ๑ปี) เป็นสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง นางสงกรานต์ก็จะต้องนำเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นประจำทุกปี
    ส่วนประวัติของนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดที่เป็นลูกสาวของท้าวกบิลพรหมมีดังนี้ครับ
    ๑. นางสงกรานต์ทุงษเทวี
ทุงษเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ ทัดดอกทับทิม มีปัทมราค (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์ครุฑ

     ๒. นางสงกรานต์โคราดเทวี
โคราดเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ ทัดดอกปีป มีมุกดาหาร (ไข่มุก) เป็นเครื่องประดับภักษาหาร คือ เตละ (น้ำมัน) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จประทับเหนือพยัคฆ์ (เสือ)

     ๓. นางสงกรานต์รากษสเทวี
รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ โลหิต (เลือด) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายถือธนู เสด็จประทับเหนือวราหะ (หมู)

      ๔. นางสงกรานต์มัณฑาเทวี
มัณฑาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพุธ ทัดดอกจำปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ นมและเนย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์คัสพะ (ลา)

      ๕. นางสงกรานต์กิริณีเทวี
กิริณีเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี ทัดดอกมณฑา (ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ ถั่วและงา อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จไสยาสน์เหนือปฏษฎางค์ชสาร (ช้าง)

      ๖. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี
กิมิทาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันศุกร์ ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ กล้วยและน้ำ อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย)

      ๗. นางสงกรานต์มโหทรเทวี
มโหทรเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ เนื้อทราย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จประทับเหนือมยุราปักษา (นกยูง)
       ส่วนนางสงกรานต์ปี 2554 เป็นนางสงกรานต์นางที่ 5 คือนาง กิริณีเทวี คำทำนายเกี่ยวกับนางมีดังนี้
      นางสงกรานต์ปี 54 ชื่อ กิริณีเทวี นั่งหลังช้าง มือซ้ายถือปืน พยากรณ์ปีนี้ดุ เกิดเหตุเภทภัยทั่วประเทศ

        ปฏิทินหลวงวันสงกรานต์ ปี 2554 ปีใหม่ไทยปีนี้ตรงกับปีเถาะ นางสงกรานต์ มีนามว่า "กิริณี เทวี" ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่ว-งา พระหัตถ์ขวาทรงขอ พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะ ซึ่งจากคำทำนายค่อนไปทางร้ายมากกว่าดี

          โดยวันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 เวลา 13 นาฬิกา 25 นาที 25 วินาที และวันที่ 16 เมษายน เวลา 17 นาฬิกา 31 นาที 12 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1373 วันอาทิตย์เป็นโลกาวินาศ น้ำฝนปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 600 ห่า นาคให้น้ำ 5 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ผลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

          ทั้งนี้ คำทำนายตามตำราตรุษสงกรานต์ของ นายสมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2553 ระบุว่า นางสงกรานต์กิริณีเทวี นั่งมาบนหลังช้างซึ่งถือเป็นสัตว์ใหญ่ เป็นมงคลช่วยขับไล่สิ่งร้าย ๆ ให้ออกไปได้ และยังทัดดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์อยู่บนสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อว่าจะช่วยพ้นวิกฤติจากหนักให้เป็นเบา ส่วนภักษาหารที่เป็นถั่วงา แสดงว่าพืชผลข้าวปลาอาหารยังมีความสมบูรณ์อยู่ ส่วนคำทำนายที่ว่าทหารจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็น่าจะแสดงถึงความสงบสุขของบ้านเมืองในปีนี้ด้วย

          ขณะที่ วันมหาสงกรานต์ 2554 ตรงกับวันพฤหัสบดี วันเนาตรงกับวันศุกร์ และวันเถลิงศกตรงกับวันเสาร์ รวมคำทำนายว่า จะ เกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ ความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย แร้งกาจะเป็นโรค สัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แต่แม่หม้ายจะมีลาภ และบรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู

          ส่วนคำทำนายของล้านนา ระบุว่า ปีนี้ฝนจะตกเสมอต้นเสมอปลายตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันอาทิตย์มีโชค

       ผมเดินทางออกจากบ้านที่จังหวัดชลบุรีเวลา 7.00 น. ของวันที่ 10 เมษายน 2554 ตลอดเส้นทางของการเดินทางรถไม่ค่อยติดเท่าไรครับ ผมใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี มุ่งหน้าไปที่อำเภอบางปะอินทร์ วันที่ใช้เส้นทางโชคดีที่เขาไม่เก็บเงินค่าผ่านทางในระหว่างวันที่ 8-17 เมษายน 2554 ผมก็เลยประหยัดเงินค่าผ่านทาง 3 ด่านไป 90 บาท แต่ผมก็มีโชคร้ายระหว่างทางเหมือนกันนะครับ คือรถของผมโดนหินที่หล่นจากรถ 10 ล้อที่วิ่งอยู่ด้านหน้าตกมาใส่ ช่วงอำเภอบางประอินทร์ ต้องเสียค่าเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าพร้อมติดฟิมส์ใหม่ไป 6,000 บาท ฟาดเคราะห์ไปเสียหลายตังค์
       ผมเดินทางเข้าเขตจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมเวลา 12.30 น. ในการเดินทางแบบไม่รีบร้อนนัก ของผม คือขับรถมาเรื่อยๆ โดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงบ้านของคุณย่าของลูกสาวผม



       ผมนอนค้างบ้านแม่ผมในตัวเมืองกำแพงเพชร 1 คืน วันที่ 11 เมษายน 2554 ผมก็เดินทางต่อไป อ. คลองลาน จ. กำแพงเพชร ซึ่งเป็นบ้านพ่อตาแม่ยายของผม พอดีนอกจากจะไปเยี่ยมเยียนขอพรในโอกาสวันสงกรานต์แล้ว คู่เขยผู้น้องของผมเขานำผ้าป่ามาทอดที่วัดบ้านพ่อตาแม่ยายผมด้วย ได้เงินมาตั้งล้านกว่าบาทแนะ ผมเลยไปร่วมขบวนแห่ผ้าป่ากับเขาด้วย เผื่อจะได้บุญกับเขาบ้าง



       ในช่วงตอนกลางคืนก็มีงานวัดฉลองผ้าป่าด้วย มีมโหรสพหลายอย่าง เช่น มวย ประกวดร้องเพลง หนูนาพาโชค ตักไข่ปลา แต่ที่ผมชอบสุดๆ ก็ต้องรำวงย้อนยุคที่บรรดาลุงๆป้าๆ ออกมาวาดลวดลายกันเต็มเหนี่ยวไปเลยครับ









     วันที่ 13 เมษายน 2554 ที่ อ. คลองลานฝนตกหนักมากครับ ผมเลยอดไปเที่ยวสาดน้ำข้างนอกต้องนอนดูฝนตกอยู่ที่บ้านพ่อตาแม่ยาย หมดสนุกเลย แต่แก้ไขด้วยการนั่งดื่มสุรา รดเยี่ยม บวกด้วยกับแกล้มรสเด็ด กินสะจนเต็มเหนี่ยวเลย ก็มีความสนุกไปอีกแบบ ทั้งผมยังได้พูดคุยระหว่างนั่งดื่มไปด้วยกับบรรดาญาติๆ ฝ่ายภรรยาของผม






     บ่ายวันที่ 14 เมษายน 2554 ผมได้มีโอกาสไปร่วมสรงน้ำพระที่วัดแถวๆบ้านพ่อตา แม่ยายของผมที่ อ. คลองลานด้วย เป็นวัดเล็กๆ แต่อบอุ่นดี บรรยากาศเป็นกันเอง ผู้คนไม่มากนัก เลยไม่วุ่นวายเท่าไร











     ก่อนกลับจากบ้านพ่อตาแม่ยาย ผมเลยใช้โอกาสรดน้ำขอพรจากท่านก่อนลากลับเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ครอบครัว และปฏิบัติตามจารีสประเพณีของไทยเราด้วย ผมว่าการปฏิบัติแบบนี้ทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ถูกปฏิบัติจะมีความสุขลึกๆในใจ อันจะเพิ่มกำลังใจและความรู้สึกดีๆต่อกันมากขึ้นนะครับ






     ในวันนั้นป้าแอ้ว ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตของแม่ยายผม มาเที่ยวช่วงที่ผมไปเที่ยวพอดี ผมเลยถือโอกาสรดน้ำขอพรด้วยอีกคน












     ผมเดินทางย้อนกลับไปที่ บ้านโคนเหนือ จ. กำแพงเพชร ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และเป็นบ้านของพ่อกับแม่ผม เพื่อที่จะไปเยี่ยมญาติๆ เล่นน้ำสงกรานต์ และรดน้ำขอพรญาติผู้ใหญ่ร่วมถึงแม่ผมด้วย ซึ่งปัจจุบันแม่ของผม มีอายุอาวุโสที่สุดในบรรดาญาติๆ ของผมที่อยู่ที่นี่







      ส่วนสถานที่เล่นสาดน้ำสงกรานต์ ก็ใช้ บริเวณริมถนนหน้าบ้านนั่นแหละครับ เพราะเป็นถนนสายหลักมีรถรา และผู้คนเดินทางผ่านไปผ่านมาจำนวนมาก ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางเรียบแม่น้ำปิง ใช้เดินทางระหว่างจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงเป็นเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางไปสรงน้ำเจ้าพ่อหลักเมืองซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวจังหวัดกำแพงเพชรด้วย จึงทำให้มีผู้คนเดินทางผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก



     การเล่นสงกรานต์หน้าบ้านก็ไม่มีอะไรมาก ใช้วิธีรวมกลุ่มญาติพี่น้อง ลูกๆ หลานๆ มารวมตัวกัน หาเครื่องเสียง อุปกรณ์การสาดน้ำมาเพื่อใช้สาดน้ำผู้คนที่ผ่านไปมา พวกเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ เขาก็สาดน้ำกันไป พวกอายุมากหน่อย ลุงๆ ป้าๆ ก็นั่งดื่มสังสรรค์เฮฮา กันไปตามประสาคนไม่ค่้อยได้พบได้เจอกัน เพราะต่างคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวกัน




     เราเล่นสาดน้ำ นั่งดื่มกันตั้งแต่สายๆ ของวันที่ 15 เมษายน 2554 จนถึงเวลาประมาณ 14.30 น. ก็เริ่มพิธีการรดน้ำขอพรญาติผู้ใหญ่ โดยมีแม่ของผมที่มีอาวุโสมากที่สุดเป็นผู้เริ่มพิธี










    พวกลูกๆ หลานๆ ต่างก็มารดน้ำขอพร กันถ้วนหน้า ถึงแม้ปีนี้ญาติพี่น้องของผมจะมากันไม่ครบ พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนกับหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่จำนวนก็มีมากโขเหมือนกัน










     หลังจากรดน้ำผู้ใหญ่แล้ว ลูกๆ หลานๆ ต่างก็มาขอพรจากผู้ใหญ่ เพื่อความเป็นศิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว เพื่อที่จะนำพรไปเป็นแรงใจแรงกาย ในการต่อสู้กับการทำมาหากินเลี้ยงชีวิตและครอบครัวต่อไป










     ครอบครัวของผม จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ปีหนึ่งสองครั้งเท่านั้นครับ  ก็จะมีช่วงวันหยุดปีใหม่ แล้วก็วันหยุดช่วงสงกรานต์นี่แหละ ดังนั้นช่วงเวลานี้ผมและครอบครัว จะมีความสุขและสนุกสนานกันเป็นพิเศษ










     มาเที่ยวสงกรานต์ปีนี้ผมก็อดจะคิดถึงปีก่อนๆ ไม่ได้ เพราะผมชอบเก็บความทรงจำในรูปแบบภาพถ่าย อย่างรูปนี้ เป็นสงกรานต์หน้าบ้าน ที่บ้านโคนปี 2553










     และประเพณีวันสงกรานต์ที่ติดในความทรงจำของผม สำหรับครอบครัวเราต้องย้อนไปสมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปด ที่บรรดาญาติพี่น้องเราร่วมกันนิมนต์พระมาสรงน้ำที่บ้านรวมถึงอาบน้ำให้ผู้สูงอายุ ซึ่งสมัยนั้นยายของผมที่เป็นที่เคารพนับถือของครอบครัวเรา และเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่ลูกๆหลานๆสมัยนั้นรักใคร่ทุกคน








     สมัยนั้นยังไม่เจริญมากนักหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ยังไม่มีทุกคนทุกบ้านเหมือนสมัยนี้ แต่สมัยนั้นก็มีหลายสิ่ง หลายอย่างที่สมัยนี้ไม่มีเหมือนกัน อย่างเช่น การให้เกียรติกัน เคารพนับถือกัน ความกระตัญญูรู้คุณ ซึ่งในความรู้สึกผมมันลดน้อยถอยลงไปมากแล้วในช่วงสมัยนี้








     ก่อนหน้านั้นญาติพี่น้องของผม ถึงคราวเทศการณ์งานสำคัญอย่างประเพณีวันสงกรานต์ที พวกเราจะพากันไปรวมตัวที่บ้านของญาติๆ ที่มีอาวุโสมากที่สุด แล้วร่วมแสดงความกตัญญู สังสรรค์เฮฮา สนุกสนานร่วมกัน

















     อย่างรูปนี้บรรดาญาติๆร่วมกันปฏิบัติกับญาติผู้ใหญ่ด้วยความเคารพนับถือ ทำให้ญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล รู้จักมักคุ้นกัน ซึ่งผิดกับสมัยนี้ ครอบครัวของเราแตกออกเป็นครอบครัวเล็กๆ บางทีญาติพี่น้องรุ่นหลังๆยังไม่รู้จักกันเลยก็มี คิดแล้วเศร้าครับ










     รูปนี้บรรดาญาติๆ ร่วมกันสังสรรค์ สนุกสนาน ใครมีความทุกข์ความเศร้าก็เอามาบอกเล่าระบายให้กันฟัง เพื่อนำไปสู่การแก้ไข นึกถึงบรรยากาศช่วงนั้นแล้ว ผมอยากให้ย้อนกลับมาอีก แต่คงจะยากมากในสมัยที่ต้องต่อสู้แข่งขันกันทำมาหากินอย่างในสมัยนี้









     มีอีกเหตุการณ์ สำหรับประเพณีสงกรานต์ ที่ผมประทับใจ คือช่วงสักหกเจ็ดปีที่แล้ว ผมมีโอกาสไปเยี่ยมญาติทางฝ่ายพ่อผมที่จังหวัดร้อยเอ็ด จำได้ว่าพ่อผมนำผ้าป่าไปทอดที่ บ้านหนองแดง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อผม








     ผมได้ไปพบกับประเพณีสงกรานต์ที่ดูเรียบง่ายแต่ยังรักษาไว้ซึ่งขนบ   ธรรมเนียบประเพณีโบราณ ซึ่งผมประทับใจมากครับ












     ถึงแม้ผู้ที่ร่วมในพิธีจะมีแต่เด็กๆและคนเฒ่าคนแก่ก็ตาม แต่สำหรับผมแล้วมันอิ่มเอมใจที่มีโอกาสได้พบเห็นรวมถึงเข้าร่วมพิธีกับเขาด้วย












    รูปนี้เป็นบรรกาศเดินกลับบ้านหลังจากสรงน้ำพระที่วัดเสร็จแล้ว
    สุดท้่ายผมขอให้ผู้ที่เข้าชม Blog My Ordinary Story ทุกท่านมีความสุขสมหวังในโอกาสปีใหม่ไทย หรือวันมหาสงกรานต์ ทุกๆท่านครับ


สำหรับบทความนี้......สวัสดีครับ





























1 ความคิดเห็น:

  1. ชมแล้วช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ ถือเป็นการแรกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

    ตอบลบ